บทสนทนากับ ‘ครูดาว–ฒามรา พรหมหอม’ เมื่อการศึกษาต่อรางรถไฟจากห้องเรียนสู่ชุมชน
———————————————————————————
เด็กเรียนเยอะขนาดนี้ แต่ทำไมเอาความรู้ไปใช้กับชีวิตจริงไม่ได้?
ทำไมสอบได้คะแนนดี แต่พอออกไปเจอปัญหาข้างนอก กลับไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร?
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามของใครหลายคนที่ครุ่นคิดกับปัญหาของระบบการศึกษาไทยที่ยังคงทำให้การเรียนเป็นเรื่องของห้องเรียนสี่เหลี่ยมและความเคร่งเครียดในการเติบโต เป็นคำถามในประเด็นเดียวกันกับคุณครู 3 คนคือ ครูนุชและครูนุ่น ซึ่งเป็นครูที่โรงเรียนศรีนครินทร์วิทยานุเคราะห์ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา และครูดาว จากโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์
พวกเธอคือ 3 คนแรกที่ริเริ่ม ก่อการครูภาคใต้ ขึ้นมา แทนที่จะยอมรับกับระบบแบบเดิม กลับเลือกที่จะหาคำตอบของคำถามเหล่านั้น โดยมองหาหลักสูตรและวิธีจัดการเรียนรู้ที่จะไม่หยุดอยู่แค่ ‘การติวเพื่อสอบ’ แต่พาเด็กออกไปเจอชีวิตจริง ไปเจอปราชญ์ชาวบ้าน ไปฟังเรื่องเล่าของคนทำงาน ไปดูปัญหาในชุมชน และลองใช้สิ่งที่เรียนมา เป็นเครื่องมือในการมอง วิเคราะห์ และลงมือทำอะไรบางอย่างกับโลกของตัวเอง
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ครั้งนั้น ก่อการครูภาคใต้ จึงเกิดขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างการศึกษาภายใต้แนวคิด “หรอย เรียน ที่ เริน เรา“ (เรียนอย่างมีความสุขที่บ้านเรา) เพราะเชื่อว่าการเรียนรู้ที่มีความหมาย ไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในห้องเรียน
เมื่อกระบวนการนี้แผ่ขยายออกไป ก่อการครูภาคใต้ค่อย ๆ ขยายจาก “ห้องเรียนหนึ่ง” เป็น “เครือข่ายครู–ชุมชน–โรงเรียนและเยาวชน” ที่ช่วยกันออกแบบหลักสูตรฐานสมรรถนะชุมชน
ท่ามกลางขบวนรถไฟหลายสายที่กำลังเคลื่อนตัวไปพร้อมกันผ่านปลายด้ามขวานของแผนที่ประเทศไทย ก่อการครูภาคใต้ก็เติบโตขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งสถานีที่มีรางเชื่อม ทั้งสายครู ชาวบ้าน เยาวชน และโรงเรียน และพาทุกส่วนมุ่งหน้าไปสู่ปลายทางแห่งความฝัน
บทความนี้ ครูดาว–ฒามรา พรหมหอม ก่อการครูภาคใต้ จะมาเล่าให้เราฟังถึงการเดินทาง การเติบโต ความเชื่อ ความท้าทาย และบทบาทของก่อการครูภาคใต้ที่กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงจากฐานการเชื่อมโยงห้องเรียนกับชุมชน ซึ่งเธอเลือกเปรียบเทียบการขับเคลื่อนครั้งนี้ว่าทีมของเธอเป็นเหมือน ‘นายสถานี’ ที่คอยช่วยอำนวยความสะดวก เชื่อมโยงห้องเรียนกับชุมชน และดูแลให้แต่ละขบวนไปถึงเป้าหมายของตัวเองได้
“ปีแรก เราเริ่มจากโรงเรียนของตัวเองก่อน พัฒนาบทเรียนที่เชื่อมห้องเรียนกับชุมชน ลองผิดลองถูกกันในพื้นที่เล็กๆ ที่เราดูแลได้ พอปีที่สอง ก็มีโรงเรียนสุทธิ์รักษ์ถ– อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เข้ามาร่วมด้วยจาก 3-4 คน ก็เริ่มกลายเป็นเครือข่ายเล็กๆ ที่เชื่อในเรื่องเดียวกันและอยากเห็นเด็กในภาคใต้ได้เรียนรู้จากสิ่งรอบตัวในบ้านตัวเองจริงๆ”
ทำไมจึงต้องเป็น ‘หลักสูตรฐานสมรรถนะ’
พวกเรามองเห็นปัญหาคล้ายกัน คือ เด็กเรียนเพื่อสอบ แต่พอให้ลองเอาความรู้ไปใช้แก้ปัญหาจริงๆ กลับทำไม่ได้ เราเลยถามตัวเองว่าแล้วจะมีหลักสูตรหรือการออกแบบการเรียนรู้แบบไหนที่ช่วยให้เด็กใช้ความรู้ไปจัดการชีวิตตัวเองได้จริง
คำตอบที่เราเจอคือ ‘ฐานสมรรถนะ’ เพราะหัวใจของมันไม่ใช่แค่ให้เด็กจำเนื้อหาได้ แต่ต้องทำให้เขามีทักษะที่จำเป็นต่อโลกที่เปลี่ยนตลอดเวลา และเอาชีวิตรอดได้ในความหมายที่ดีต่อทั้งตัวเองและชุมชน
จากนั้นก็เกิดคำถามต่อว่าแล้วสมรรถนะที่ว่าควรจะผูกกับอะไร เด็กจึงจะรู้สึกว่าการเรียนมีความหมายจริงๆ พวกเราก็ตอบตัวเองด้วยการพุ่งไปที่ ‘สมรรถนะฐานชุมชน’ คือเอาองค์ความรู้ในห้องเรียนไปเชื่อมกับองค์ความรู้ในชุมชน เพราะชีวิตของเด็กอยู่ในหมู่บ้าน ในชุมชนของพวกเขา เราเลยเลือกใช้ชุมชนเป็นห้องเรียนอีกห้องหนึ่งให้เขาเห็นว่าเนื้อหาที่เรียนมันโยงกับโลกจริงที่อยู่รอบตัวได้อย่างไร
นอกจากคุณครูในทีมแล้วทำงานร่วมกับใครอีกบ้าง
พอเราทำงานไปได้ระยะหนึ่ง เราก็รู้ว่าการพัฒนาและขับเคลื่อนเรื่องนี้จะทำงานเฉพาะกับกลุ่มครูหรือโรงเรียนของเราไม่ได้ เราเลยเชื่อมคนที่ทำงานกับชุมชนจริงๆ เข้ามาอยู่ในทีมด้วย เพราะฉะนั้นตอนนี้ทีมหลัก (core team) ของเรามี 5 คน ประกอบด้วยครู 4 คนจากโรงเรียน และ 1 คนที่ทำงานขับเคลื่อนกับการพัฒนาเยาวชนและชุมชนมาโดยตลอด ทำให้เราได้เชื่อมโยงและทำงานกับเครือข่ายชุมชนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเรามีเป้าหมายใหญ่ของเราคือสร้างนิเวศการเรียนรู้ที่มีความหมาย เชื่อมระหว่างห้องเรียนไปสู่ชุมชน ชุมชนก็มีความหลากหลายตามบริบทแต่ละโรงเรียน
กลุ่มเป้าหมายที่เราจะพัฒนาก็จะมีตั้งแต่ห้องเรียนของโรงเรียนเรา ก้าวไปสู่การพัฒนาเพื่อนครูที่สนใจ เขาก็เอาเครื่องมือที่เราให้ไปออกแบบห้องเรียนของเขา เพราะฉะนั้นตอนนี้มีห้องเรียนชุมชนแผ่กระจายไปหลายแห่ง จนวันนี้เราก็ขยายไปเรื่อยๆ มาเป็นปีที่ 4 แล้ว
เครือข่ายที่ทำงานด้วยมีที่ไหนบ้าง พอจะยกตัวอย่างได้ไหม
ตอนนี้ก็จะมีโรงเรียนแหลมทองอุปถัมภ์ที่ปัตตานี และโรงเรียนม้างอนวิทยาที่จะนะ นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนที่คุณครูสังกัด ซึ่งเราจะเปิดเวิร์คช็อปแบบเปิดสำหรับคนทั่วไปให้ครูที่สนใจเข้ามาร่วมเรียนรู้การออกแบบห้องเรียนฐานสมรรถนะชุมชน และนำไปประยุกต์กับโรงเรียนต้นสังกัดของตัวเองได้
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งกลุ่มที่เราทำงานด้วยคือ กลุ่มเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นและกลุ่มโลกบ้านฉัน@คอนหมาก ซึ่งเป็นกลุ่มเครือข่ายชุมชนในการพัฒนาภูมิปัญญาให้กลายเป็นบทเรียนท้องถิ่น และอีกกลุ่มคือ ‘กลุ่มเยาวชน’ ซึ่งถือว่าเป็นความหวังของชุมชนที่อยากลองขับเคลื่อนบ้านของเขาเอง เราก็มาเป็นพี่เลี้ยงให้น้องได้จัดค่ายและกิจกรรม
การทำงานของเราเป็นเหมือนรถไฟ 2 ขบวน ขบวนแรกคือ การพัฒนาครู ทั้งครูที่เป็นทีมของเรา ครูในโรงเรียนต่างๆ ครูที่สนใจเข้าร่วมเดินทางไปกับเรา และขบวนที่ 2 คือการพัฒนาชุมชนใกล้ๆ แต่ละโรงเรียนและเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ
การที่เรามุ่งพัฒนาคนเป็น 2 ขบวนหลักแบบนี้ เพราะจากการลงพื้นที่จริง เราได้ข้อค้นพบว่า คนเป็นครูไม่จำเป็นต้องเป็นครูในระบบ ชาวบ้านก็สามารถเป็นครูให้กับชุมชนของพวกเขาได้ หน้าที่ของเราคือเอาเครื่องมือด้าน Learning Design ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันกับเครื่องมือและวิธีการเรียนรู้แบบผู้คนในชุมชน ในที่สุด เราก็ได้เห็นชุดความรู้ที่หลากหลาย เกิดแนวทางใหม่ๆ และชุมชนก็สามารถออกแบบกระบวนการเรียนรู้ขึ้นมาเองได้มากขึ้น
นอกจากกลุ่มหลัก 2 ขบวนหลักเรายังมีหลายภาคส่วนที่มองเห็นสิ่งที่เราทำ เขาก็สนใจที่จะร่วมงาน เช่น TK Park ที่อยากให้เราช่วยพัฒนาและออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละพื้นที่ และกลุ่มสมาคมอาสาสร้างสุข ซึ่งรับทุนจากกองทุนเสมอภาคทางการศึกษา ในการพัฒนาการศึกษาเชิงยืดหยุ่น เพื่อแก้ปัญหาการศึกษาตามนโยบาย Thailand Zero Dropout ตลอดจนยังมีมหาวิทยาลัยและโรงเรียนเครือข่ายอื่นๆ ที่สนใจการออกแบบการเรียนรู้ฐานชุมชน เราก็ให้ความช่วยเหลือด้านเครื่องมือ แลกเปลี่ยนไอเดีย แบบความร่วมมือหลวมๆ ที่ไม่ได้เป็นทางการ เพราะเราไม่อยากให้เป็นการขับเคลื่อนสังคมที่เคร่งเครียดหรือผูกมัดต่อกัน
ตัวอย่างหลักสูตรหรือกิจกรรมฐานสมรรถนะชุมชน
เอาตัวอย่างจากครูอุ้ม–โรงเรียนสุทธิรักษ์ก็ได้ สิ่งที่ครูอุ้มทำคือเรื่องของ ‘ข้าวยำ’ ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นของ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ครูอุ้มออกแบบแผนการเรียนรู้โดยพาเด็กสำรวจก่อนว่า อาหารเช้าที่เขากินคืออะไรบ้าง เด็กจำได้ประมาณ 4-5 อย่าง ในนั้นก็มีข้าวยำเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของประเด็นว่า อาหารเช้าเป็นข้าวยำ แต่ข้าวยำเป็นยาขมสำหรับเด็ก เพราะเด็กมีความรู้สึกว่าคนกินข้าวยำคือผู้ใหญ่หรือคนแก่
จากนั้นครูอุ้มก็เอาชุมชนมาจัดเปิดโต๊ะเหมือนร้านข้าวยำให้เด็กเรียนรู้จากของจริงว่า ข้าวยำจริงๆ มีส่วนประกอบอะไรบ้าง เด็กก็ชิมข้าวยำ บางคนกินเป็นครั้งแรก
พวกเขาก็เริ่มได้เรียนรู้ว่าผักอะไรที่ใช้ในข้าวยำ ก่อนจะไปเรียนรู้ลึกซึ้งว่าจริงๆ ข้าวยำมาจากไหน มีส่วนประกอบอะไร ราคาเท่าไร แล้วสุดท้ายเด็กก็เอาความรู้ที่ได้มาสร้างเป็นข้าวยำแบบของเขา บางคนสร้างเป็น ‘ซูชิข้าวยำ’ ขึ้นมาด้วย สะท้อนว่าเด็กเอาองค์ความรู้ที่เรียนจากฐานชุมชน บูรณาการกับเนื้อหาในชั้นเรียน สร้างเป็นชิ้นงานของตัวเอง
หรืออย่างเครือข่าย ‘จะนะรักษ์ถิ่น’ ก็มีโครงการที่เรียกว่า ‘วิชาโลกเล’ พอมีวิชาโลกเล เขาก็จะมีสาขาย่อยต่างๆ ออกมาด้วย ถ้าสอนแบบเดิมก็จะเหมือนเดิมเลย คือเล่าให้ฟัง แล้วก็ทำ แต่เราก็เข้าไปช่วยพัฒนาบทเรียนของเขาให้มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอนนี้ใครมาเรียนกับเขาก็สามารถจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพกันต่อได้อีกด้วย
กระบวนการในการพัฒนาหลักสูตรเป็นอย่างไร
เราจึงสรุปกระบวนการทำงานของพวกเราเป็น 5 ขั้นตอนกันออกมา ขั้นแรก คือ ‘ติดอาวุธ จุดไฟการเรียนรู้‘ ครูต้องมีความรู้ก่อน แต่ความรู้อย่างเดียวไม่พอ จะต้องมีการจุดไฟการเรียนรู้ด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องเกิดจากภายในก่อน ขั้นที่สอง คือ ‘มุ่งสู่ชุมชน‘ ครูต้องไปเป็นนักเรียนในชุมชนก่อน ครูต้องลงไปเรียนรู้ค้นหาองค์ความรู้ เพื่อจะได้เห็นข้อดี ข้อเสีย และเรียนรู้จากประสบการณ์จริง จึงจะเห็นจุดที่ต้องเติมที่ต้องระมัดระวังในการออกแบบห้องเรียน ขั้นที่สาม คือ ‘ฝึกฝนออกแบบ‘ ครูต้องช่วยกันออกแบบ ไม่ใช่คนเดียว เรามีกระบวนการ PLC คือ Professional Learning Community เพราะกระบวนการเรียนรู้ไม่ได้ทำคนเดียว แต่เราร่วมออกแบบเป็นทีม ขั้นที่สี่ คือ ‘แนบแผนสู่การปฏิบัติ‘ เอาแผนที่ออกแบบลงไปสอนจริงๆ ทั้งในห้องเรียน และบางคาบต้องพาเด็กลงไปสู่ชุมชน
สุดท้ายขั้นที่ 5ชี้ชัด โชว์แอนด์แชร์ คือพอสอนแล้ว นำผลมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนครู เพื่อการเติมเต็มไอเดีย พื้นที่นี้ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ครูอื่นเข้ามาร่วมพัฒนา ร่วมเรียนรู้ เกิดเป็นวงจรที่ต่อเนื่อง ซึ่งวงจรนี้เราใช้สำหรับพัฒนาใครก็ได้ ไม่ว่าครู ชาวบ้าน หรือแม้แต่นิสิตในมหาวิทยาลัย
ถ้าจะนิยามก่อการครูภาคใต้ จะนิยามว่าอะไร
เรามองตัวเราเองว่า ‘ก่อการครูภาคใต้’ คือ ‘นายสถานี’ เราเป็นคนที่คอยอำนวยความสะดวกให้แต่ละขบวนรถไฟ ขบวนชาวบ้าน ขบวนสายครู ขบวนเยาวชน และขบวนโรงเรียน เป็น 4 ขบวนหลักที่เราเป็นสื่อกลาง ที่เหลือก็คือขบวนที่เราไปร่วมกับคนที่สนใจเรา เราเป็นแค่นายสถานีที่ถ้าแต่ละขบวนจะชนกัน เราก็สื่อสาร ประสาน สับราง พาให้ทุกคนไปถึงเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ หรือแวะมารวมตัวกันในบางจุดระหว่างทางเพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ท้ายที่สุด แต่ละขบวนจะไปสู่จุดหมายของตัวเอง มีวิธี มีเส้นทางของเขาได้ ไม่จำเป็นต้องมาเกิดที่เรา เราแค่เป็นตัวช่วยส่งให้ทุกขบวนวิ่งไปสู่ปลายทางได้
ความท้าทายตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
ความท้าทายแรก คือ การตอบคำถามจากหลายๆ คนที่เต็มไปด้วยความสงสัย สายตาแห่งการตั้งคำถามในทำนองว่า สรุปแล้ว ทำไปเพื่ออะไร ทำแล้วจะเปลี่ยนแปลงจริงไหม ซึ่งสำหรับพวกเราความท้าทายนี้จะพบตลอดการเดินทาง แต่มันสำคัญมากและต้องทำงานกับคำถามเหล่านี้อยู่เสมอ เพื่อสื่อสารให้คนที่พบเราระหว่างทางได้เข้าใจมากที่สุด
ความท้าทายที่สอง คือ เมื่อขยายพื้นที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เราก็เจอความหลากหลายของกลุ่มคนและโจทย์ที่แต่ละกลุ่มอยากได้ นี่เป็นความท้าทายมาก ในการออกแบบกระบวนการให้สอดกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม
ความท้าทายที่สามคือ ‘การสร้างและคงไว้ของ Connection’ ตอนนี้ขยายไปเรื่อยๆ เราเองต้องจัดการกับ Connection เหล่านี้ จัดการพื้นที่และความร่วมมือให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ความท้าทายที่สี่คือเรื่อง ‘เวลา’ เพราะเราต้องทำงานเวลาปกติ แต่ละคนมีหน้างานหนักแล้ว แต่เรายังแบ่งเวลามาทำงานนี้ ซึ่งเราใช้พลังใจและพลังความตั้งใจอย่างเหลือล้น
ความท้าทายที่ห้าคือการสร้างและคงไว้ของทีม ในโลกใหญ่ พวกเรารวมตัวกันได้ เราเรียนรู้กันและกันเสมอ การทำให้ทีมยังคงอยู่ และยังไปต่อได้ มันท้าทายมากสำหรับพวกเราแต่ก็เป็นความท้าทายที่ทำให้เกิดการเสริมแรงและไปกันต่อได้เรื่อยๆ เพราะการได้มา ‘ก่อการครู’ เป็นความโชคดีของพวกเรา มันทำให้ทุกคนที่มารวมกันสามารถให้ความเข้าอกเข้าใจตัวเองและเข้าใจกันและกันได้มากขึ้น
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำก่อการครูภาคใต้
ข้อค้นพบแรกคือเราเชื่อในกระบวนการ มันทำให้คนเกิดการเรียนรู้จริงๆ หลายคนสะท้อนให้เราว่า การอบรมแบบนี้ทำให้เข้าใจและเอาไปใช้งานจริง ภายใต้การอบรมต้องมีการออกแบบกระบวนการ เพราะกระบวนการเป็นตัวขับเคลื่อนให้คนเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
ข้อค้นพบที่สองคือ สิ่งที่เราทำมันไปสร้างคุณค่า มีคนหลายกลุ่มให้คุณค่า ทำให้พวกเรารู้สึกว่ามีความสุขที่สิ่งเหล่านี้มีคุณค่ากับคนอีกหลายคน ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้จริง ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ที่จับต้องได้
ข้อค้นพบที่สามคือ การทำงานขับเคลื่อนสังคม ต้องเกิดจากความเชื่อ ความศรัทธา และความมั่นใจ ถึงจะทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นและไปต่อได้ และข้อค้นพบที่สี่คือเรื่องการสนับสนุนดูแล ตั้งแต่ตัวเราเอง ทีม เครือข่าย น้องเยาวชน ชุมชน อาจารย์ทั้งหลาย ล้วนเป็นคนที่ทำให้พวกเราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวมีเพื่อนร่วมเดินทางตลอด
พวกเราเรียกความสัมพันธ์นี้ว่า ‘จักรวาลก่อการครู’ มันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเป็นทางการ มันคือความสัมพันธ์แบบเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นพ่อแม่ เป็นทุกอย่าง ในวันที่เหนื่อย เราก็สามารถนอนลงโดยไม่ต้องกลัวว่ามันกำลังขับเคลื่อนอะไร เราได้เรียนรู้ว่าความสัมพันธ์แบบนี้มีความหมาย ทำให้ท้ายที่สุดในวันนี้พวกเราก็มีความสุขอยู่กับสิ่งที่ทำ
การศึกษาที่ก่อการครูภาคใต้อยากเห็นในประเทศไทย
ประเด็นแรกเราอยากเห็นทุกที่สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ได้ ทุกที่ ทุกคน ทุกสิ่ง ควรเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ทุกคนได้ อีกอย่างคืออยากให้ทุกคนเป็น ‘Learner Person’ คนที่เป็นผู้เรียนรู้ กล่าวคือถ้าเรามี Learning Hub มากขึ้นก็จะมีที่ให้ไปเรียนรู้หลากหลายขึ้น และมันจะเกิดการเชื่อมโยงคนขึ้นมาอัตโนมัติ และถ้าครู เด็ก ชุมชน พ่อแม่ หรือคนในสังคมต่างเป็น learner person ไปหมด การศึกษาก็จะขับเคลื่อนไปได้เอง
ความฝันของก่อการครูภาคใต้วันนี้
ภาพใหญ่ที่อยากเห็น คือ Learning Hub ที่ชัดเจนในภาคใต้ที่นำไปสู่ Lifelong learner ทุกคนสามารถเลือกไปเรียนกับพื้นที่ไหนก็ได้ เกิดเป็นนิเวศการเรียนรู้ที่เกิดการเรียนรู้ที่เปี่ยมความหมาย และแต่ละฮับมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลายเชื่อมโยงกัน
ท้ายที่สุด เรามุ่งหวังสร้างนิเวศการเรียนรู้ที่จับต้องได้ในบริบทของภาคใต้ ตัวเราเองก็ยังคงทำหน้าที่เป็นนายสถานี อาจจะเป็นตัวกลาง ตัวเชื่อมให้รถไฟแต่ละขบวนมาเจอกัน และท้ายที่สุด ก็อยากให้สถานีนี้มั่นคง คอยสนับสนุนทุกคนสร้างฝันของตัวเองไปได้แบบยาวๆ และเกิดการเรียนรู้ที่ ‘หรอย เรียน ที่ เริน เรา’ ได้จริง
ชวนมาร่วมต่อเติมเสริมรางแห่งความฝันให้กับระบบการศึกษาไทยกับนายสถานทีที่ชื่อว่า ‘ก่อการครูภาคใต้’ ในงาน ‘สถานีสายใต้ – หรอย เรียน ที่ เริน เรา’ นำเสนอตอน ‘ขบวนเรียนรู้สู่ปลายด้ามขวาน’ สัมผัสการศึกษาเชิงพื้นที่ผ่านนิทรรศการที่รวมอาหารพื้นถิ่นหายาก งานของเด็กและเยาวชน บทเรียนฐานสมรรถนะชุมชนจาก 10 โรงเรียนต้นแบบ และเครือข่ายการเรียนรู้หลากหลายการอบรมเชิงปฏิบัติการห้องเรียนฐานชุมขน วันที่ 6 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 15.30 น. ณ โรงเรียนแหลมทองอุปถัมภ์ จ.ปัตตานี


