ก่อการครู – Korkankru

คลังความรู้ ด้านการศึกษา บทความ / บทสัมภาษณ์ โครงการจัดการความรู้และขับเคลื่อนระบบการศึกษาและการเรียนรู้

“การศึกษากับเด็กชายขอบ” ปัญหาที่ถูกซ่อนไว้ใต้คำว่า ความมั่นคงกับพหุวัฒนธรรม

Reading Time: 2 minutes ขณะที่เด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยลดลงต่อเนื่องมานับทศวรรษ และมีโรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งเสี่ยงถูกปิดตัวเนื่องจากมีจำนวนนักเรียนไม่เพียงพอ แต่ขณะเดียวกันก็มีเยาวชนไร้สัญชาติจำนวนมากไม่อาจเข้าสู่ระบบการศึกษา Oct 21, 2024 2 min

“การศึกษากับเด็กชายขอบ” ปัญหาที่ถูกซ่อนไว้ใต้คำว่า ความมั่นคงกับพหุวัฒนธรรม

Reading Time: 2 minutes

ขณะที่เด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยลดลงต่อเนื่องมานับทศวรรษ และมีโรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งเสี่ยงถูกปิดตัวเนื่องจากมีจำนวนนักเรียนไม่เพียงพอ 

แต่ขณะเดียวกันก็มีเยาวชนไร้สัญชาติจำนวนมากไม่อาจเข้าสู่ระบบการศึกษา 

เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง รับเด็กเหล่านี้มาเรียนกว่า 100 คน และโดนตำรวจแจ้งข้อหาทำผิดกฎหมายด้านความมั่นคง 

ในความเป็นจริง ประเทศไทยมีนักเรียนรหัส G หรือเด็กนักเรียนที่ไม่มีสัญชาติไทยอยู่ในระบบการศึกษากว่า 80,000 คน 

การสัมมนาวิชาการ Education Journey Forum ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 นักวิชาการหลายสำนักมาร่วมแลกเปลี่ยน พูดคุย และเสนอทางออกกัน ว่าเราจะจัดการศึกษาและการเรียนรู้ให้เยาวชนชายขอบข้ามชาติเหล่านี้ได้อย่างไร

ใครคือเยาวชนชายขอบ?

“การศึกษาสมัยใหม่ของไทยกำเนิดขึ้นในสมัยรัชการที่ 5 ปี 2427 ที่เริ่มมีการสร้างโรงเรียนสำหรับสามัญชน และประกาศใช้ พ.ร.บ.ประถมศึกษาในปี 2464 เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กผู้หญิงไทยได้รับการศึกษา อาจกล่าวได้ว่าเด็กชายขอบกลุ่มแรกของการศึกษาสมัยใหม่คือเด็กผู้หญิง” 

ศ.ดร.นงเยาว์ เนาวรัตน์ ศูนย์พหุวัฒนธรรมและนโยบายการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พาเราไปหาคำตอบว่า “เยาวชนชายขอบ” คือใครกันแน่

ระบบการศึกษาที่ควบคุมจากส่วนกลางนั้นช่วยถักทอความเป็นพวกพ้องเดียวกันในสังคมอันกว้างใหญ่ไพศาล หลอมรวมคนเข้าด้วยกันผ่านนิยาม “ความเป็นไทย” ที่เหมือนจะเข้าใจง่าย แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกับดักสำคัญที่ทำให้เราลุ่มหลงในตัวเองมากขึ้น มองโลกโดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง นิยามเพื่อนบ้านด้วยความเป็นอื่น และปลูกฝังความรู้สึกที่ไม่เท่าเทียมกันบางอย่างให้กับคนที่เราไม่เคยได้พบเจอกัน 

เกิดเป็นคู่ความสัมพันธ์แบบ “ศูนย์กลาง-ชายขอบ” หรือ “พลเมือง-ต่างด้าว” 

เกิดวาทกรรมว่า “ใคร” และ “ใครไม่ควร” เป็นพลเมืองที่ควรได้รับการศึกษา 

ในความเป็นจริง ประเทศไทยมีกลุ่มคนและวัฒนธรรมที่หลากหลาย แบ่งจากภาษาที่ใช้ได้ราว 80 กลุ่ม

นักวิชาการพหุวัฒนธรรมแบ่งกลุ่มคนในรัฐชาติออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) คนกลุ่มใหญ่ที่มีวัฒนธรรมเกาะเกี่ยวกับรัฐหรือผู้มีอำนาจที่สร้างรัฐชาติ เช่น คนไทยที่พูดภาษาไทย 2) ชนกลุ่มน้อยในดินแดนที่มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง เช่น คนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3) ผู้อพยพที่เคลื่อนย้ายไปมาระหว่างดินแดนตั้งแต่ก่อนการสร้างรัฐชาติ เช่น กลุ่มมอญ กลุ่มกะเหรี่ยง และ 4) กลุ่มคนที่มีวิถีชีวิต ความคิดอ่านหลากหลาย แตกต่างจากรัฐส่วนกลาง  

แม้สังคมเราจะประกอบด้วยผู้คนที่หลากหลาย แต่เมื่อการศึกษาจากส่วนกลางพยายามทำให้ความหลากหลายนี้เลือนหายไป ความเป็น “ชายขอบ” ในมิติของการศึกษาจึงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับเด็กไร้สัญชาติ แต่รวมไปถึงเด็กชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตเฉพาะ เด็กยากจนที่มีเส้นทางชีวิตแตกต่างไปจากความต้องการของสถานศึกษา หรือแม้แต่เด็กเพศทางเลือกที่มีความคิดต่างไปจากคำอธิบายในแบบเรียนเองก็กลายเป็นเด็กชายขอบด้วยเช่นกัน

ในเชิงความคิด การจะจัดการศึกษาที่พร้อมโอบรับความเป็น “ชายขอบ” อาจต้องเริ่มต้นที่การรับรู้พหุวัฒนธรรมในสังคมไทย ยอมรับและลองมองโลกผ่านมุมมองอื่น ปฏิเสธการครอบงำความรู้จากวัฒนธรรมเดียว เพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมในสังคม

เรามีห้องเรียนสำหรับเยาวชนข้ามชาติเพียงพอหรือไม่

เด็กชายขอบส่วนหนึ่งก็คือเด็กข้ามชาติที่มาพร้อมกับพ่อแม่ที่เป็นแรงงานข้ามชาติ 

รศ.ดร.ฐิติมดี อาพัทธนานนท์ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่านับตั้งแต่ปี 2531-2535 มีแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานในประเทศไทยกว่า 4 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นเยาวชนข้ามชาติกว่า 4-5 แสนคน และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกหลังจากการรัฐประหารในเมียนมาในปี 2564

หลายคนคงไม่รู้ว่าจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 ได้อนุญาตให้เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 

สำหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานบัตรประชาชน โรงเรียนจะออกเลข G 13 หลักให้สำหรับขึ้นทะเบียนในระบบการศึกษาเท่านั้น ซึ่งข้อมูลประจำปี 2566 ระบุว่ามีจำนวนเด็กรหัส G ถึง 82,000 คน เป็นหลักฐานเชิงปริมาณว่าไทยเรากำลังให้การศึกษากับเด็กๆ ข้ามชาติชายขอบจำนวนมาก มีโรงเรียนไทยที่รับเด็กข้ามชาติเพิ่มขึ้น บางแห่งจ้างครูชาวเมียนมา รวมถึงจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนแรงงานข้ามชาติและองค์กรภาคประชาสังคม

แต่ทั้งหมดที่เป็นอยู่นี้ยังเป็นคำถามว่าเพียงพอหรือไม่ เนื่องจากจำนวนเด็กข้ามชาติที่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นับปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง คือความต่อเนื่องและการจัดการศึกษา

รูปแบบการเข้าถึงการศึกษาของเด็กข้ามชาติในประเทศไทยนั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 รูปแบบ คือ 

1 การเข้าศึกษาในโรงเรียนสังกัด กทม. 

2 การเข้าศึกษาในระบบสังกัด สพฐ. 

3 การเรียนในศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ (MLC) ซึ่งจัดการศึกษาแบบไม่เป็นทางการ มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 2 หมื่นคน 

และสุดท้ายคือ

4 การศึกษานอกระบบ ผ่านกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ซึ่งจากข้อมูลมีอยู่ 2,470 คน 

สำหรับ กทม. ปี 2565 มีเด็กข้ามชาติเข้าเรียนกว่า 8,480 คน และมีนักเรียนรหัส G จำนวน 2,800 คน ส่วนมากอยู่ในพื้นที่เขตบางขุนเทียน ทวีวัฒนา และบางกะปิ ตามลำดับ 

“สถานศึกษาเหล่านี้ส่วนใหญ่จัดถึงแค่ระดับประถมศึกษา มีแค่บางโรงเรียนต่อถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น น่าสนใจว่าเด็กที่จบจากโรงเรียนใน กทม. แล้วเรียนต่อในระบบของ สพฐ. นั้นมีจำนวนน้อยมาก แค่เพียงประมาณ 500 คนเท่านั้น”

ลัดดาวัลย์ หลักแก้ว จากมูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท (มยช.) ให้ข้อมูลการจัดการศึกษาสำหรับเด็กข้ามชาติในพื้นที่ กทม. ทั้ง 437 แห่ง 

ขณะที่เยาวชนข้ามชาติจำนวนหนึ่งเลือกกลับไปศึกษาที่ประเทศต้นทาง “การศึกษาของคนเมียนมาในจังหวัดตากมีทั้งเรื่องโชคดีและความท้าทาย เรามีศูนย์การเรียนรู้ของเด็กข้ามชาติ 65 แห่ง มีความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างเมืองแม่สอดกับเมืองเมียวดี ให้เด็กที่เรียนในไทยได้รับเอกสารรับรองจากกระทรวงศึกษาของเมียนมาด้วย เพื่อให้เขาสามารถกลับไปเรียนต่อในระบบการศึกษาของเมียนมาได้” 

ศิราพร แก้วสมบัติ จากมูลนิธิช่วยไร้พรมแดน เล่าถึงบริบทของจังหวัดตาก จังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศ และเป็นพื้นที่สำคัญด้านการศึกษาแรงงานและเยาวชนข้ามชาติ ความร่วมมือกับเมืองเมียวดียังมีระบบสอบเทียบให้เด็กโต เพื่อให้กลับไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของประเทศเมียนมาได้ด้วยอีกทางหนึ่ง ส่วนเด็กที่เลือกจะศึกษาต่อในประเทศไทย หากมีอายุมากกว่า 15 ปี จะได้รับการศึกษาในระบบ กศน. ของไทย

ถึงแม้จะมีโครงการและการให้ทุนการศึกษากับเด็กในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง แต่ในทางปฏิบัติยังพบปัญหามากมาย เช่น เอกสารการเข้าเรียน การรับรองจากผู้ใหญ่บ้าน ปัญหาการสื่อสาร ไปจนถึงปัญหาห้องเรียนและคุณครูไม่เพียงพอ ไม่นับเรื่องพื้นฐาน อย่างโรงเรียนหลายแห่งยังไม่เข้าใจแนวทางการปฏิบัติในการรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยเข้าเรียน โดยเฉพาะเด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร์ 

ย้อนแย้ง ลักลั่น เส้นทางชีวิตเยาวชนชายขอบ

“แอปเปิล” เป็นเยาวชนชาวมอญ อายุ 25 ปี พ่อแม่เป็นแรงงานข้ามชาติที่อพยพมาทำงานในประเทศไทยเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน เธอเกิดที่โรงพยาบาลจุฬาฯ แต่ไม่มีหลักฐานการเกิด เมื่ออายุ 8 ปีแอปเปิลสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนรัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร และเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษา เธอเป็นเด็กเรียนดี เข้าร่วมกิจกรรมหลายอย่างและทำชื่อเสียงให้โรงเรียนจนได้รับทุนการศึกษาทุกปี  

เธอเรียนจบชั้นปริญญาตรีในที่สุด และวางแผนจะใช้ชีวิต มีงานทำ อย่างพลเมืองในประเทศไทยที่เธอเกิดและเติบโต  ด้วยความผูกพันกับความเป็นคนไทยมากกว่าคนมอญ แต่เวลาถูกถามว่า ทำไมเธอมีแค่ชื่อ ไม่มีนามสกุล เธอรู้สึกว่าตัวเองช่างแตกต่างจากคนไทยเหลือเกิน

เรื่องราวของ “แอปเปิล” ฉายให้เห็นถึงสถานการณ์ย้อนแย้งในชีวิตของเยาวชนชายขอบข้ามชาติในประเทศไทยซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ 

ปัจจุบันการรับเด็กรหัส G เข้าเรียนนั้นแบ่งเป็น 2 กรณี 

กรณีแรก คือเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปีทุกคนจะถูกกำหนดให้เข้าเรียนในชั้นอนุบาล 1 กรณีที่สอง เด็กอายุมากกว่า 6 ปี และไม่เคยมีประวัติการเข้าเรียนในโรงเรียนไทยมาก่อน จะถูกกำหนดให้เข้าเรียนในชั้น ป.1 โดยไม่มีการทดสอบความรู้ของเด็ก ไม่มีการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับความรู้หรือพัฒนาการตามช่วงวัยที่แท้จริง ส่งผลให้มีเด็กข้ามชาติอายุ 13-14 ปี ซึ่งเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แต่ต้องเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวนมาก ผลคือเด็กไม่ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมและหลายคนเลือกออกจากระบบการศึกษาไปกลางคัน 

หลักสูตรที่เด็กเหล่านี้ได้เรียนคือหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ซึ่งมีลักษณะแบบหลอมรวมวัฒนธรรม (Cultural Assimilation) โรงเรียนจะสอนภาษาไทย สอนประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและมารยาทแบบไทย เพื่อให้เด็กเติบโตมาแบบวิถีคนไทย 

การไม่สอนเรื่องที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของนักเรียนข้ามชาติ ไม่สอนแบบสองภาษา เป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การลืมวัฒนธรรมของตนเอง เกิด “อัตลักษณ์ลักลั่น” (Ambivalent Identity) คือการที่เด็กข้ามชาติรู้สึกว่าตนเองเป็นคนไทย แต่กลับไม่ได้รับสถานะ “คนไทย” ในทางสัญชาติและเอกสาร เส้นทางชีวิตของนักเรียนข้ามชาติในโรงเรียนไทยนั้นนำไปสู่ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ที่แตกต่างหลากหลาย บางคนมีหลักฐานการเกิดในประเทศไทยและกว่าจะได้รับสัญชาติก็หลังจากการยื่นเอกสารนานหลายปี บางคนยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณา บางคนเช่น “แอปเปิล” นิยามตนเองเป็นคนไทยแต่ไร้สัญชาติ ขณะที่บางคนยังยึดถือวัฒนธรรมดั้งเดิมของพ่อแม่ไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่เยาวชนข้ามชาติในโรงเรียนไทยได้รับผ่านมาเหมือนๆ กัน คือการจัดการศึกษาที่ไม่เหมาะสม

คุณครูพหุวัฒนธรรม

แล้วห้องเรียนจะรองรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้อย่างไร หลายคนมองว่า “คุณครู” คือกุญแจสำคัญ เป็น “คุณครูพหุวัฒนธรรม”

“รัฐไทยเป็นผู้จัดความสมดุลระหว่างสิทธิมนุษยชนของนักเรียนข้ามชาติกับความมั่นคงของรัฐ และมีบทบาทที่จะต้องสนับสนุนให้มีการเรียนรู้แบบ ‘พหุวัฒนธรรม’ ซึ่งไม่ใช่คำเดียวกับ ‘ต่างวัฒนธรรม’ ที่แสดงถึงความเป็นอื่น พหุวัฒนธรรมมีนัยถึงความหลากหลาย เป็นการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เห็นว่าทุกวัฒนธรรมมีคุณค่าเท่าเทียมกัน” สุรพงษ์ กองจันทึก มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ให้ความเห็น

ขณะที่ รศ.ดร.ฐิติมดี ให้ความเห็นว่า การจัดการศึกษาสำหรับเด็กข้ามชาติต้องเปลี่ยนโรงเรียนที่พยายามหลอมรวมวัฒนธรรมอื่นเข้ากับวัฒนธรรมไทย ให้กลายมาเป็น ชามสลัด (Salad Bowl) ใช้วัฒนธรรมของนักเรียนเป็นสื่อการสอน พร้อมทั้งบูรณาการเข้ากับเนื้อหาและกิจกรรมของโรงเรียน

ในเชิงการจัดการให้เกิดผล ก็ต้องถอยกลับไปถึงการพัฒนาหรือผลิตครูแบบพหุวัฒนธรรม แต่ปัญหาใหญ่ก็คือการพัฒนาวิชาชีพครูยังสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์และอุดมการณ์รัฐอย่างแนบแน่น แม้มาตรฐานวิชาชีพครูมุ่งให้มีความเข้าใจวัฒนธรรมที่อ่อนไหวและยอมรับผู้เรียนที่แตกต่าง แต่กรอบการสอนยังเป็นไปอย่างผิวเผิน ไม่ได้อธิบายความแตกต่างของผู้เรียนว่าหมายถึงอัตลักษณ์ใด เช่น เชื้อชาติ ศาสนา เพศ ภาษา ตลอดจนนิยามของวัฒนธรรม

เพื่อให้เกิดคุณครูพหุวัฒนธรรม ผศ.ดร.พิสิษฏ์ นาสี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เสนอความเป็นไปได้ไว้หลายรูปแบบ ทั้งการบรรจุวิชาพหุวัฒนธรรมเข้าไปในหลักสูตรวิชาชีพครู การบูรณาการเป็นส่วนหนึ่งในวิชาเอกซึ่งมีจุดเน้นแตกต่างกันไปในแต่ละสถาบันตามบริบทของพื้นที่ หรือแม้แต่การจัดอบรมระยะสั้น เช่น การจัดอบรมเรื่องพหุภาษาประจำปีของสถาบันพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาชายแดนใต้

ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ คือปัจจุบันประเทศไทยมีความหลากหลาย มีแรงงานข้ามชาติมากเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจะมองเยาวชนชายขอบ ในฐานะส่วนหนึ่งของพลเมืองในอนาคต ที่จะเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศ หรือมองเขาในฐานะผู้อพยพ คนข้ามชาติ คนนอกต่างวัฒนธรรม หรือภัยคุกคาม

ทั้งในบริบทของพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่มีปัญหาความขัดแย้ง กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงการเข้ามาของแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ชายแดนและเมืองเศรษฐกิจต่างๆ แต่ทั้งความไม่แน่นอน และความลักลั่นที่ระบบการศึกษาไทยกำลังกระทำกับพวกเขาอยู่ขณะนี้ จึงเป็นโจทย์ที่ต้องขบคิดหาทางแก้ไข ทั้งในระยะสั้น และระยะยาวอย่างไม่

Array