ห้องเรียนวิชาเคมีของ ครูโบว์-ลัดดาวรรณ เหล่าเกียรติกุล อาจารย์ประจำวิชาเคมี ของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้น ม.4 – ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นนทบุรี มีตั้งแต่ห้องเคมีในภาพจำทั่วไป ห้องแนะแนว ห้องสมุด ห้องคหกรรม กระทั่งโรงยิม และสนามบาสฯ
“สนามบาสเป็นที่ประจำค่ะ นักเรียนชอบขอลงมาเรียนข้างล่างเพราะบอกว่าเวลาเรียนในห้องหรือห้องเคมีแล้วอึดอัด” ครูโบว์อธิบายหลังนักเรียนห้อง ม.6/4 เกือบ 20 คน ทยอยเข้าจับจองที่นั่งบริเวณม้านั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างสนามบาสเกตบอลพื้นปูนขนาดย่อม
“กลับจากค่ายอนุรักษ์ พวกหนูคิดว่าไง ชอบไหม? รู้สึกยังไงกันบ้าง?” ครูโบว์เปิดคาบเรียนด้วยคำถามปลายเปิดซึ่งไม่เกี่ยวกับวิชาเคมีและอุปกรณ์การเรียนที่เธอเตรียมมา อาจเพราะนี่เป็นคาบแรกที่ครูโบว์ได้เจอกับนักเรียนห้องนี้หลังเด็กๆ กลับจากค่ายอนุรักษ์
แม้ไม่เกี่ยวกับวิชาเรียนโดยตรง แต่ครูโบว์คิดว่าเรื่องราวระหว่างการเข้าค่าย ความรู้สึกสดใหม่หลังการเรียนรู้นอกสถานที่เป็นสิ่งที่ต้องรับฟัง หลังจบคำถาม เสียงโหวกเหวกเพราะนักเรียนแย่งกันตอบก็ดังกลบเสียงลูกบาสกระทบพื้นในสนามข้างกัน
“จริงๆ นักเรียนจะได้ทำแบบประเมินหลังเข้าค่ายอยู่แล้ว แต่แบบประเมินนั้นแค่ติ๊กให้คะแนน ส่วนช่องข้อเสนอแนะ นักเรียนมักจะเว้นว่างไว้ ส่วนใหญ่เด็กๆ จะทำแบบประเมินนี้แค่พอส่ง เพราะรู้ว่ามันจะไม่ถูกรับฟัง แต่โบว์คิดว่าทุกๆ กิจกรรมควรให้เขาได้สะท้อนว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร รู้สึกยังไง เขาได้เรียนรู้อะไร และต้องเป็นบรรยากาศที่เด็กๆ รู้สึกว่าปลอดภัยที่จะเล่าให้ฟังด้วย” ครูโบว์หันมาอธิบายให้ฟังหลังนักเรียนเริ่มจับกลุ่มทำงานที่ให้ไว้
ถ้าพูดเป็นภาษาวิชาการ วิธีสอนแบบนี้คือ การสะท้อนคิด หรือ reflection แต่ครูโบว์บอกว่ามันเป็นแค่การถามเพื่ออยากเข้าใจว่า ‘หนูรู้สึกยังไง’ ซึ่งเธอจะใช้มันคล้ายแบบประเมินการทำงานทุกครั้งหลังนักเรียนทำโครงงานใหญ่ในแต่ละเทอม
แต่ ‘การรับฟัง’ ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ครูโบว์ ซึ่งสวมหมวกอีกใบเป็นครูฝ่าย ‘กิจการนักเรียน’ (หน้าที่คล้ายครู ‘ฝ่ายปกครอง’ ทุกความหมาย!) เป็นที่รักของนักเรียนทั่วไป วัดคะแนนนิยมด้วยการลองเดินข้างครูตลอดวัน เราจะพบกับจังหวะการเดินชนิด ‘เดินๆ หยุดๆ’ เพราะถ้าครูไม่เข้าไปพูดคุยกับนักเรียนเอง ก็ต้องมีนักเรียนวิ่งเข้ามาทักทาย (เม้ามอย) ไม่ขาดสาย ไม่เว้นแม้แต่เด็กที่ดูภายนอกแล้วบอกได้ทันทีว่า ‘เฮี้ยว’ ก็ยังไม่วิ่งหนี แต่เดินเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนมแม้จะได้รับค้อนงามๆ ของครูโบว์ไปสักทีสองที
พอคล้อยหลังเด็กๆ ไป ครูโบว์หันกลับมาบอกชื่อพร้อมประวัติคร่าวๆ ของพวกเขาได้เกือบครบทุกคน บ้างใช้ยาเสพติด บ้างเป็นโรคซึมเศร้า และบ้าง… มีพฤติกรรมต่อต้านกลุ่มครูที่ชอบใช้อำนาจและความรุนแรง ด้วยความรุนแรงที่เกือบเท่ากัน
“เพื่อนครูหลายคนบอกว่าโบว์ชอบเข้าข้างเด็ก แต่จริงๆ โบว์อาจเป็นแค่ครูที่ชวนเขาคุยและถามว่า ‘เขารู้สึกยังไง’ เพราะถ้าเรายังไม่เข้าใจเขา เราจะแก้ปัญหากันต่อยังไง” ครูโบว์อธิบาย
คงเป็นการเกินเลยที่จะบอกว่าครูโบว์คือครูที่ ‘ดีที่สุด’ หรือเป็นครูในดวงใจของนักเรียนทุกรุ่นทุกคน เพราะในคำว่า ‘ดี’ นั้นแล้วแต่ใครนิยาม แต่การทำงานตลอด 14 ปี เธอผ่านมาแล้วทั้งดีร้าย ตั้งแต่การถูกอำนาจในระบบการศึกษากัดกิน คำถามที่เกิดขึ้นเสมอ ‘ยังอยากเป็นครูอยู่หรือเปล่า’ ความคาดหวังจากสังคมต่ออาชีพคนเป็นครู หรือกระทั่ง การรู้อยู่เต็มอกว่าระบบการศึกษาที่เป็นอยู่มีปัญหา แต่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแก้อย่างไร สิ่งเหล่านี้กัดกินเธอมาตลอดอายุงาน
“โบว์ทำงานมา 13 ปี ก่อนมาเจอ ‘ก่อการครู’ ในปีที่ 14 ตอนนั้นโบว์แย่มาก (เน้นเสียง) หลังจากที่เราปะทะกับอำนาจ เราบาดเจ็บ เราเหนื่อย มีคำถามที่ตอบไม่ได้หลายอย่าง เครียดจนที่บ้านถามว่า ‘ลาออกไหม ถ้าทรมานมากก็ออกเถอะ’
“ตอนนั้นเราคิดอยู่สองอย่างคือ ถ้าไม่ลาออก ก็จะบีบตัวเองให้เล็กที่สุด จะกลายร่างจาก ‘ครู’ เป็นแค่ ‘ผู้สอน’ จนมาเจอโครงการ ‘ก่อการครู’ ที่บอกว่า ‘ครูคือแรงบันดาลใจ จุดไฟการเรียนรู้’ และ ‘ครูคือมนุษย์’ โดยเฉพาะคำว่า ‘ครูคือมนุษย์’ เราเข้าใจตอนนั้นเลยว่า เออ… ที่เราเจ็บปวดแบบนี้ ก็เพราะเรายังเป็นมนุษย์ไง”
ก่อนจะไปตามติดชีวิตครูโบว์ว่าเธอมีเทคนิค เคล็ดลับ หรือวิธีคิดในการสอนอย่างไร อาจต้องกลับไปเริ่มจากประสบการณ์ทำงานเกือบครึ่งชีวิต และ ‘ปัญหา’ ทั้งในและนอกห้องเรียน
14 ปีของการเป็นครู และคำถามที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ‘เราอยากเป็นครูจริงๆ หรือ?’
“โบว์ไม่เคยอยากเป็นครู แต่เพราะตอนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นช่วงฟองสบู่แตก จังหวะนั้นเราสอบทุนของมหาวิทยาลัยได้หลายโควตา หนึ่งในนั้นคือโครงการ สควค. (โครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์) ในสาขาเคมี ข้อแม้คือต้องเป็นครู ช่างใจว่าจะเอาหรือไม่เอา แต่เพราะที่บ้านประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ก็เลยเลือกเรียน
“สี่ปีในมหาวิทยาลัยกับการเรียนวิทยาศาสตร์ไม่มีปัญหาเลย แต่พอปี 5 ที่ต้องเรียนเกี่ยวกับการสอน เราตั้งคำถามกับการเป็นครูมาก อาจารย์ท่านหนึ่งบอกเราว่า ‘ครูต้องรู้วิธีสอนเยอะๆ ถ้าเด็กเรียนไม่ดี ครูต้องปรับวิธีสอน’ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดแบบนั้น เราเป็นสไตล์เด็กวิทย์ ที่เชื่อว่า ‘เด็กที่เก่ง เรียนกับครูคนไหน ด้วยวิธีไหนก็ได้ ถ้านักเรียนตั้งใจ ยังไงก็รู้เรื่อง’
“แต่พอเป็นครูเองจึงเข้าใจ มันมีปัจจัยหลายอย่างมากที่เราต้องควบคุม โดยเฉพาะการเรียนการสอนที่ต้องบาลานซ์ระหว่างเด็กที่ไปได้ไว เด็กกลางๆ เด็กที่ค่อนข้างช้า ไดนามิคในห้อง กระทั่งความรู้สึกของเด็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรียน”
เมื่อเรียนจบ บรรจุเป็นข้าราชครูได้ไม่ถึง 1 ปี ก็ย้ายมาประจำที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นนทบุรี โรงเรียนขนาดกลางที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ราว 1,000 คน กล่าวได้ว่าตลอดชีวิตข้าราชการครู เธอทำงานที่โรงเรียนเดิมตั้งแต่เรียนจบ ถึงวันนี้เป็นเวลา 14 ปีแล้ว

แม้จะยืนหยัดเป็นครูมายาวนานขนาดไหน คำถามที่ว่า ‘อยากเป็นครูจริงหรือเปล่า’ กลับไม่เคยหายไป เมื่อถามว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้ยังเป็นครูอยู่ ครูโบว์อธิบายไปทีละสเต็ป สเต็ปแรกเริ่มต้นที่…
“เพราะต้องใช้ทุน 5 ปี” ครูโบว์ตอบพร้อมเสียงหัวเราะ แต่ข้อเท็จจริงภายใต้มุกตลกมีว่า ช่วงที่ต้องตัดสินใจว่าจะอยู่หรือไปหลังผ่านงานสอนมา 5 ปีไม่เคยเรียบง่าย เพราะโจทย์การทำงานไม่ได้มีแค่การควบคุมการเรียนการสอนในห้อง
ครูโบว์เล่าบริบทโรงเรียนให้ฟังว่า ข้อเท็จจริงของโรงเรียนขนาดกลางและของชุมชนคือ โรงเรียนจะเป็นตัวเลือกอันดับ 2 กรณีที่นักเรียนสอบเข้าที่โรงเรียนหลักใกล้เคียงไม่ได้ก็จะมาอยู่ที่นี่ นักเรียนส่วนใหญ่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สร้างแรงจูงใจให้ไม่อยากเรียน บ้างได้รับหรือพบเห็นปัญหาสังคมจากในครอบครัวหรือชุมชน
ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของโรงเรียนคือการทำงานกับเด็กเพื่อสร้างแรงจูงใจให้อยากเรียนรู้ มากกว่าการปั้นเด็กให้มีความเป็นเลิศทางวิชาการ
ย้อนกลับไปยังคำถามเดิม ‘อะไรทำให้ยังอยู่?’ คำตอบของคำถามที่ว่า เป็นเพียงคำถามเรียบง่ายจาก ‘เด็กๆ’
“ตอนเรียนครู เราก็เรียนแค่หลักการสอนทั่วไป จิตวิทยาหรือทฤษฎีการอยู่กับเด็ก แต่ไม่เคยมีใครบอกเลยว่าเราอาจไม่มีอิสระในการออกแบบการสอน ถูกกดดันจากระบบ ภาระครูในทางวิชาการอื่นๆ ที่ดึงครูออกจากห้องเรียน หนักสุดคือ เคยมีนักเรียนบอกโบว์ว่า ‘ครูรู้ไหม แค่ผมเดินเข้ามาในโรงเรียนก็อึดอัดแล้ว’ เจ็บปวดมาก ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนั้น? เราไม่ใช่ผู้คุมนะ
“จากที่เคยตั้งคำถามว่า ‘อยากเป็นครูจริงหรือเปล่า’ ก็ยิ่งรู้สึกเข้าไปใหญ่ว่าไม่อยากเป็นครู หรือเคยคิดว่า เราอาจจะเป็นครูที่ดีไม่ได้ พอสอนครบ 5 ปีซึ่งต้องคิดแล้วว่าจะไปต่อหรือเปล่า โบว์บอกกับเด็กๆ ไปว่า ‘ครูจะไม่สอนแล้วนะ’ เด็กๆ ถามกลับว่า ‘แล้วหนูจะเรียนกับใคร ใครจะรับฟังหนู’
“คำตอบนั้นเลยตอบตัวเองได้ว่า เราอยากเป็นครูนั่นแหละ แต่เราแค่อึดอัดกับปัจจัยอื่น เช่น การเรียนการสอนที่ถูกตีความให้แคบ ต้องสอนด้วยวิธีตามหลักสูตร อำนาจในระบบอาวุโส ปัญหากับเพื่อนครูด้วยกันเอง”
จังหวะที่ตัดสินใจว่าจะเป็นครูต่อ จัดการความคิดและความอึดอัดอย่างไร? – เราถาม
“กลับมาโฟกัสที่นักเรียน โฟกัสที่การสอน โดยเฉพาะอยากสร้างบรรยากาศการเรียนให้เด็กๆ ไม่อึดอัดจนไม่อยากเรียน ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวถูกทิ้ง เช่น ครูใส่ใจเฉพาะเด็กเรียน โอ๋เด็กที่มีปัญหา แล้วกลายเป็นว่าเด็กกลางๆ ถูกทิ้ง ทุกเสียงต้องถูกฟัง เราไปคนเดียวไม่ได้ แต่เด็กและครูต้องไปด้วยกัน”
พื้นที่การเปลี่ยนแปลงของครูโบว์ขั้นแรก จึงเป็นการกลับมาตั้งหลักที่นักเรียน
จะเรียนเรื่องนี้ แต่พูดอีกเรื่องหนึ่ง?
เสียงออดบอกเวลาเข้าเรียนคาบบ่าย นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6/1 ทยอยเดินเข้าห้อง แน่นอนว่าสีหน้าของเด็กๆ หลังกินข้าวมักไม่ค่อย ‘เฟรช’ เท่าคาบเรียนช่วงเช้าตามธรรมเนียม ‘หนังท้องตึง หนังตาหย่อน’ พร้อมเสียงโอดครวญของเด็กๆ ว่า ‘ครูจะสอนจริงๆ เหรอ?’
ครูโบว์ส่ายหัวพร้อมต่อรองกับนักเรียนอยู่สองสามยกก็ตกลงกันได้ว่าคาบเรียนวิชาเคมีจะเกิดขึ้นแน่นอน พร้อมขอให้นักเรียนจัดโต๊ะกันใหม่ จากที่หันหน้าเข้าหากระดาน ให้ดันโต๊ะเข้าหากันแล้วนั่งล้อมเป็นวงกลม
“สมมุติว่าแต่ละคนกำลังจะไปซื้อของกินที่ตลาด ขอให้นักเรียนลองนึกว่า ในการจ่ายตลาดหนึ่งครั้ง นักเรียนจะได้อะไรบ้าง เช่น ครูไปซื้อไข่พะโล้ สิ่งที่ครูได้กลับมาคือ ไข่พะโล้ ถุงพลาสติก หนังยาง ถุงหิ้ว มีอะไรอีกไหมคะ?”
จากนั้นครูโบว์ขอให้นักเรียนแต่ละกลุ่มคิดกันว่า ต่อการไปตลาดหนึ่งครั้ง นักเรียนแต่ละกลุ่มจะซื้ออะไร และได้อะไรกลับมาบ้าง จากนั้นขอให้แต่ละกลุ่มแจกแจงรายละเอียดขึ้นกระดาน
ห้องเรียนของครูโบว์ไม่ (เคย) เงียบ โดยเฉพาะถึงเวลาที่ครูให้สัญญาณออกไปลิสต์รายการที่กระดานไวท์บอร์ด ไม่ใช่แค่ไม่เงียบ นักเรียนยังลุกเดินไปปรึกษากันได้อย่างอิสระ!
“เวลาที่เราดูหนังในโรงภาพยนตร์หรือที่บ้าน เรานั่งดูกันท่าไหน แล้วเราเข้าใจเนื้อหาไหม? ถ้าอย่างนั้นแปลว่า ที่เคยถูกสอนว่า เวลาเรียนต้องนั่งหลังตรงเพื่อจะได้มีสมาธิให้มากที่สุด อย่างนั้นก็ไม่น่าถูกต้องเสมอไปใช่ไหม การเรียนการสอนก็เหมือนกัน มันน่าจะอยู่ที่เราเข้าใจและรู้สึกมีส่วนร่วมกับการเรียนแค่ไหนมากกว่าท่าทางที่เราเรียน” ครูโบว์อธิบายไว้ในคาบเคมีที่ใช้สนามบาสต่างห้องเรียน ความตั้งใจที่เธอย้ำเสมอก็คือ การเรียนการสอนต้องไม่ตายตัว
กลับไปที่การจ่ายตลาด (จำลอง) ในคาบเคมี หลังนักเรียนกระจายกำลังกันไปเขียนคำตอบบนกระดานเรียบร้อย ครูโบว์จุดคำถามสั้นๆ ว่า “เราได้สิ่งที่ ‘กินได้’ หรือ ‘กินไม่ได้’ กลับจากตลาดมากกว่ากัน?”
คำตอบปรากฏชัดโดยไม่ต้องมีใครสรุปความ จากนั้นครูโบว์ใช้คำถามเดิม “นักเรียนรู้สึกอย่างไร กับคำตอบนี้” แน่นอนว่าคำตอบถูกส่งมาจากทุกมุมห้อง หลายคนตอบกลับเป็นคำตอบ หลายคนตั้งคำถามกลับ ไม่ทันหายเมาหมัด ครูโบว์ขึ้น mind map อีกหนึ่งหัวข้อ ‘รู้แล้ว ทำไมไม่ลด?’ ถามความเห็นนักเรียนว่า ทุกคนรู้ว่าปัญหาพลาสติกล้นเกินมีจริง แต่ทำไมเราจึงลดการบริโภคไม่ได้
หลังจ่ายตลาดเสร็จ ครูโบว์แจกสรุปข่าว ‘วาฬพลาสติก’[1] ที่เกิดขึ้นปลายเดือนพฤษภาคมแล้วค่อยสอบถามว่า ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการจ่ายตลาด ถุงพลาสติก และสิ่งแวดล้อมอย่างไร
“เทอมนี้นักเรียนต้องเรียนเรื่อง ‘ประเภท’ ของถุงพลาสติก แต่เราไม่ได้อยากให้นักเรียนแค่เรียนเพื่อท่องจำ แต่อยากให้เขาเห็นภาพใหญ่ก่อนว่าปัญหาของมัน ซึ่งเป็นปัญหาของโลกทุกวันนี้เนี่ย มันใกล้ตัวเขาแค่ไหน เขารู้สึกยังไงกับข่าว และอะไรที่ทำให้พวกเรายังไม่ลดปริมาณการใช้”
เป็นอีกครั้งที่ครูโบว์เอาคำถาม ‘รู้สึกอย่างไร’ เข้ามาใช้ในห้องเรียน
‘แผนที่ความคิด’ ที่ทุกคนต้องเปล่งเสียงอย่างน้อยหนึ่งคำตอบ
อีกหนึ่งวิธีการเรียนการสอนที่ครูโบว์มักใช้ประจำคือ แผนภาพต้นไม้ (mind mapping) เพราะทุกครั้งที่มีการระดมความคิดไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ เกี่ยวกับการเรียนหรือไม่ ครูโบว์จะเริ่มที่ ‘หัวข้อ’ และจับกลุ่มแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเรื่อยๆ เหตุการณ์หลายครั้งที่พบคือ เสียงความเห็นของนักเรียนจะมาพร้อมกันจนครูจดความคิดเหล่านั้นไม่ทัน ต้องแจกปากกาไวท์บอร์ดให้เด็กๆ ขึ้นมาช่วยรับกระสุนคำตอบของเพื่อน
“เราชอบแนวคิดการเขียน mind map มาก โดยเฉพาะการแปลงคำอธิบายเป็นรูป ถึงขั้นเคยอยากไปเรียนวิธีเขียน mind map อย่างจริงจังเลยนะ เพราะรู้สึกว่ามันได้ผลในการสรุปความคิด แต่ติดที่เราวาดรูปน่าเกลียดมาก เลยต้องบอกนักเรียนว่า ‘ครูคิดว่าการเขียน mind map มันดีนะ แต่ครูวาดรูปไม่เป็น ช่วยกันคิดหน่อยได้ไหมว่าความคิดนี้ควรเป็นรูปอะไรดี’ แต่ขอรูปง่ายๆ นะ บางทีไม่รู้จะวาดยังไง ก็วาดเป็นหัวใจ ก้อนเมฆ แล้วใส่หัวข้อไปตรงกลาง จบ (หัวเราะ)”
แต่บางครั้งกระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่ก็ไม่จำเป็นสำหรับครูโบว์ เพราะสนามบาสหรือห้องเรียนนอกสถานที่ (ใต้ต้นไม้ใหญ่) บางแห่งไม่มีกระดานเป็นอุปกรณ์สื่อสาร นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตะกร้าอุปกรณ์การเรียนที่ครูโบว์หอบหิ้วไปมาเสมอ จึงต้องมีกระดาษเอสี่, สีชอล์ก, ปากกาเมจิก, สก็อตเทป และอื่นๆ เพื่อพร้อมในการส่งต่อให้นักเรียนนำไปขีดเขียน ระดมสมองกันได้ทุกที่ทุกเวลา
ครั้งหนึ่งครูโบว์ใช้กระดาษเอสี่สองแผ่นติดกำแพงโรงยิมต่างกระดานไวท์บอร์ด แล้วให้นักเรียนผลัดกันลุกขึ้นมาจดไอเดียของเพื่อนๆ ในหัวข้อ “ถ้าพูดถึง ‘อะตอม’ จะคิดถึงอะไร?” กติกาไม่ยาก แค่นักเรียน ‘ทุกคน’ ต้องตอบ และต้องเป็นคำตอบที่ไม่ซ้ำกับเพื่อน
“โบว์ชอบใช้วิธี ให้นักเรียนตอบคำถามทีละคนและห้ามซ้ำเพื่อน หลับไม่ได้แน่นอน เขาต้องฟังด้วยว่าเพื่อนตอบอะไรไปแล้ว วิธีนี้โบว์คิดว่าจะช่วยให้เด็กที่ไปไว เด็กกลางๆ และเด็กที่ช้ากว่าเพื่อนเขาไปพร้อมกันได้”
ไม่รู้ว่าเด็กที่ไปได้ไวและเด็กกลางๆ จะเรียนตามทันอย่างที่ครูโบว์ตั้งใจไว้หรือเปล่า เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้า คือยิ่งใกล้คนสุดท้ายเท่าไร คำตอบที่คิดได้ก็น้อยลงเท่านั้น เมื่อนั้น เด็กๆ ทั้งห้องต่างขยิบตา ขยับปากแบบไม่มีเสียง หรือช่วยกันใบ้คำตอบให้เพื่อนคนท้ายๆ มากขึ้นเท่านั้น
กวาดดูจากสายตา ไม่มีสักคนที่หลับ หลุดโฟกัส ไม่ยิ้ม ถ้าไม่เปล่งเสียงเชียร์เพื่อน ก็ต้องเปล่งเสียงหัวเราะออกมา
แค่ถาม ไม่ได้ ต่อว่า
“แต่ละเทอมโบว์จะให้โครงงานใหญ่ๆ ใช้เวลาทำหลายเดือน เช่น วิเคราะห์การทำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศๆ หนึ่งขึ้นมา แล้วให้เด็กๆ หาข้อมูลมาโต้แย้งกันว่า ประเทศนี้ควรสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไหม? ปกติการทำรายงานของเด็กๆ ก็จะก๊อปข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตอยู่แล้วใช่ไหมคะ วิธีการง่ายๆ ก็คือ พอเขาส่งงานเรามาครั้งแรกเราก็แค่ถามว่า ประเทศนี้อยู่ที่ไหน อากาศที่นี่เป็นอย่างไร เขาแบ่งออกเป็นกี่ภูมิภาคเหรอ ถามแค่นี้เด็กๆ ก็รู้แล้วนะว่าครูเอาจริง ทำเล่นๆ ไม่ได้ โดยที่ไม่ได้ต่อว่าเขาเลยว่า ‘ครูรู้นะ เธอก๊อปมา’ อะไรแบบนี้ แค่นี้เขาก็เก็ตแล้ว
“พอแก้งานกลับมาใหม่ ถามคำถามเดิม ทีนี้เด็กๆ ทุกคนในกลุ่มตอบได้หมด วิธีการวิเคราะห์รายงานของเขาก็เปลี่ยนไป เช่น เขาจะบอกเลยว่า จริงๆ จะผลิตก็ได้นะ แต่เพราะประเทศนี้ไม่ติดน้ำ แต่การทำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้กระบวนการหล่อเย็น จึงต้องอยู่ติดทะเล หรือ สภาพเศรษฐกิจในประเทศตอนนี้ไม่ดีนะ อ้างอิงโดยใช้ GDP”
ต้องบันทึกไว้ด้วยว่า ครูโบว์ตั้งใจสร้างแรงจูงใจต่อเด็กๆ ด้วยการชี้แจงจุดประสงค์แต่แรกเลยว่า รายงานทุกฉบับของทุกกลุ่ม จะถูกส่งไปที่สถานทูตของประเทศที่จะสร้างนิวเคลียร์ ด้วยเหตุผลว่า “ข้อมูลของนักเรียนจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศที่ว่ามากเลย” พร้อมให้นักเรียนร่างจดหมายนำรายงานในตอนท้าย เพื่อย้ำให้มั่นใจว่า ข้อมูลในรายงานดังกล่าวจะถูกนำไปใช้จริง
“ไม่อยากให้เขาทำแค่เพราะต้องทำ หรือคิดว่าทำไปก็ไม่มีคนอ่าน ไม่อยากให้เห็นว่ามันเป็นแค่คะแนน การทำแบบนี้บอกเป็นนัยๆ ว่า ข้อมูลของเธอมีประโยชน์ และจะถูกอ่านนะ”
ย้อนกลับไปยังวิธีตั้งคำถามถึงข้อมูลในรายงาน ในแง่นี้หมายความว่า ครูไม่ต้องคอยจ้ำจี้จำไช เพียงแต่หยอดคำถามไปเล็กน้อยว่าข้อมูลที่หามาได้เป็นอย่างไร วิเคราะห์ออกมาได้อย่างไรบ้าง ทั้งยังเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะนอกจากจะทำให้นักเรียนเข้าใจตัววิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม ยังทำให้ผู้เรียนตั้งคำถามที่มากไปกว่าคำถามจากครูผู้สอน
“ข้อมูลบางอย่างที่นักเรียนหามา เราไม่ได้คาดหวังเลยนะ เช่น GDP หรือข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่พอเขาต้องวิเคราะห์ เราก็จะอยากรู้ข้อมูลให้รอบด้านมากที่สุด”
คำถามสำคัญ ‘รู้สึกอย่างไร’ ไหนเล่าให้ครูฟังซิ
คำถามว่า ‘รู้สึกอย่างไร’ คล้ายจะไม่เกี่ยวข้องกับวิชา ‘เคมี’ แต่ก็เป็นคำถามสำคัญที่ครูโบว์ใช้เป็นหนึ่งในแบบประเมินพื้นฐาน ในการทำงานแต่ละครั้งของเด็กๆ เลยทีเดียว
“แต่ละเทอมโบว์จะให้นักเรียนทำโปรเจ็คต์หรือโครงงานใหญ่ๆ สักชิ้นหรือสองชิ้น เพราะอยากให้เขาใช้เวลากับโครงงานนานๆ แต่ทุกครั้งที่จบโปรเจ็คต์ เราจะให้เขาทำ reflection เพื่อสะท้อนความรู้สึกจากการทำงานออกมา โบว์คิดว่ามันสำคัญมากนะ เพราะความรู้สึกก็คือการเรียนรู้อย่างหนึ่ง และหลายๆ ครั้งเราได้ฟังความเห็นดีๆ ความคิดดีๆ จากการ reflection เยอะแยะเลย”
ไม่ใช่แค่การเรียนการสอนในห้องเรียน ในฐานะครูหมวดกิจการนักเรียน ครูโบว์ยังต้องใช้คำว่า ‘รู้สึกยังไง ไหนเล่าให้ครูฟังซิ’ นับครั้งไม่ถ้วน
“อย่างเคสล่าสุด เป็นกรณีที่เด็กใช้ยาเสพติด ก่อนจะมาเจอเราเขาก็โดนครูในหมวดหลายคนจัดการด้วยอำนาจไปก่อนแล้วแหละ พอมีโอกาสเราก็ชวนนั่งคุยกัน จุดหนึ่งเด็กบอกว่า ‘ครูครับ ทุกคนพูดกับผม แต่ไม่มีใครฟังผมเลย’ เราสะอึกเลย แต่ก็บอกว่า ‘ครูฟังนะ’ เขาถามกลับว่า ‘ครูอยากฟังอะไร’ เราตอบ ‘อยากฟังทุกอย่าง เล่าให้ครูฟังหน่อย’
“เขาเล่าหลายเรื่องมาก ตั้งแต่ชีวิตวัยเด็ก เรื่องที่บ้าน เรื่องที่โรงเรียน รู้สึกเลยว่า โห… ถ้าเราเป็นเขา เราจะทนมาได้ขนาดนี้ไหม เรารู้สึกว่ามันต้องแก้แหละ แต่จะด้วยวิธีไหน? ถ้าเราให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเขา ดึงเขา ให้เวลาเขา มันน่าจะได้ผลกว่าการใช้อำนาจไหม? แต่หลายครั้งวิธีนี้มันไม่ทันกับการตัดสินใจแก้ปัญหาของคนอื่น หลายเคสเลยหลุดไป เหนือความควบคุมของเรา”
เวลาที่เห็นเด็กหลุดไป ครูรู้สึกอย่างไร? – เราถามกลับ
“โห ยากมาก ทำใจยาก (นิ่งคิด) แต่สุดท้ายเราต้องยอมรับให้ได้ว่า มันมีสิ่งที่ครูทำได้ และสิ่งที่เหนือความควบคุมของตัวเรา”
แค่ ‘ไม่กี่วิธี’ ที่ครูโบว์เลือกใช้ ไม่แน่ใจว่าเธอจะรู้หรือไม่ ว่าคำครูที่เธอเคยค้าน ‘ครูต้องรู้วิธีสอนเยอะๆ ถ้าเด็กเรียนไม่ดี ครูต้องปรับวิธีสอน’ วันนี้เธอกลับปรับใช้วิธีคิดนั้นเต็มๆ
เคล็ดลับ ‘ก่อการครู’ ไม่ใช่แค่เทคนิคการสอน แต่คือเครื่องมือชำระจิตใจ
โมดูลที่1: สำรวจจิตใจของตัวครูเอง
ทั้งหมดนั้นคือเทคนิค ‘ส่วนใหญ่’ ที่ครูโบว์ใช้ในห้องเรียน แน่นอนว่าแต่ละคาบ แต่ละวิชา แต่ละบริบทย่อมต่างกันไป ครูจึงต้อง ‘ไว’ พอจะปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนไปตามธรรมชาติของผู้เรียน แต่หลักคิดในการสอนของครูโบว์ไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่ครั้งเป็นนักศึกษาจนเวลาผ่านไปแล้วกว่า 14 ปี
“ทำยังไงก็ได้ ด้วยวิธีการไหนก็ได้ เพื่อให้เด็กอยากเรียนรู้เพราะเขาสนใจจริงๆ ไม่ใช่แค่เพื่อเอาไปสอบ”
แน่นอนว่าวิธีการสอนต้องปรับไปตามผู้เรียน นั่นจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของการเป็นครู ปัญหาในความเห็นของเธอ คือ ‘สภาพจิตใจ’ คนเป็นครูมากกว่า
“โบว์คิดว่าปัญหาส่วนใหญ่ของครูไม่ใช่ ‘วิธีการสอน’ ครูมีเนื้อหาและออกแบบวิธีการสอนของตัวเองได้อยู่แล้ว หรือถ้ามันจะเป็นปัญหาจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สุด สิ่งที่ครูขาดคือ ‘กำลังใจ’ มากกว่า ทุกคนพูดเหมือนกันว่าเข้าใจครู แต่ไม่เห็นมีใครเข้าใจจิตใจครูเลย เรามีกิจกรรมอบรมครูเกี่ยวกับกระบวนการสอนเยอะแยะมาก ครูต้องไปอบรมยกระดับผลสัมฤทธิ์ หรือติวการสอบโอเน็ต เยอะมากนะ แต่สุดท้ายแล้วมันช่วยเรื่องการสอนได้จริงหรือเปล่า?
“ก่อนที่โบว์จะเข้าโครงการก่อการครู โบว์ตอบตัวเองได้แล้วแหละว่าเราอยากเป็นครูจริงๆ แต่พอผ่านโมดูลแรก (ครูคือมนุษย์ สำรวจภูมิทัศน์ภายในความเป็นครู) เราได้คำตอบเพิ่มมาคือ ‘อยากเป็นครูที่อยากเข้าใจเด็ก’ ทีนี้มันก็ชัดเจนขึ้นแล้วว่า ถ้าอยากเข้าใจต้องทำยังไง”

นอกจากชัดเจนกับตัวเอง ครูโบว์เล่าว่าเธอยังได้เครื่องมือหลายอย่างเพื่อนำไปชำระความอึดอัดใจ และดูดซับความเหนื่อยล้าอ่อนแรงของตัวเอง
“เพราะเป้าหมายของโมดูลที่ 1 คือการทำให้ครูเข้าใจตัวเอง เมื่อเข้าใจภาวะที่ตัวเองกำลังมีหรือดำรงอยู่ว่าคืออะไร พอเข้าใจ ความทุกข์ก็ลดลง แม้ว่าต้องกลับไปเจอปัญหาเดิมๆ แต่โบว์ทุกข์น้อยลงเยอะเลยนะ และสะกิดเตือนเราด้วยว่า พื้นที่ในห้องเรียน มันคือของครู เราเลิกถามแล้วว่าทำไมระบบถึงเป็นแบบนี้
“เปลี่ยนเป็นถามตัวเองว่า ‘แล้วเราทำอะไรได้บ้าง?’”
โมดูลที่2: ทักษะการโค้ช และ STEM
อีกหนึ่งเครื่องมือที่ครูโบว์มักหยิบมาใช้ทั้งในชีวิตประจำวันและการสอน คือเทคนิควิธีที่ได้จากโมดูล 2 วิชาที่ครูโบว์เลือกลงคือ ‘ทักษะการโค้ชเพื่อครู’ (Coaching Skills for Teachers) และ ‘การจัดการเรียนการสอนสะเต็มศึกษาในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สนับสนุนด้วยเทคโนโลยี’ (STEM Instruction in Technology-Rich Learning Environments)
“เรื่องทักษะการโค้ช โบว์ชอบมากและนำไปใช้อยู่บ่อยๆ คือการใช้คำถามปลายเปิด ถามคนที่มาโค้ชกับเราเพื่อให้เขาเข้าใจตัวเอง แต่ขณะที่ถามเพื่อให้เขาเข้าใจตัวเองนั้น เราก็เข้าใจตัวเองด้วยเช่นกัน สำหรับโบว์ มันเป็นกระบวนการที่ให้บุคคลนั้นเข้าใจและตัดสินใจด้วยตัวเองและในบริบทของตัวเอง
“เอาจริงๆ ก่อนหน้านี้โบว์เหมือนครูทั่วไปนะ คือชอบ ‘สอน’ ชอบเอาประสบการณ์ของเราไปตัดสินเด็กหรือเพื่อนครูด้วยกันว่า ทำแบบนี้มันดี ไม่ถูก แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เพราะเราต่างมีพื้นฐานไม่เหมือนกัน เราติดนิสัยนี้ไปใช้กระทั่งที่บ้าน จนคนที่บ้านบอกว่าไม่ต้องเป็นครูที่บ้านได้ไหม (หัวเราะ)
“ซึ่งแม้จะเป็นครู แต่มันก็ไม่จำเป็นต้อง ‘สอน’ ไง แต่ช่วยให้เขาคิดคำตอบของตัวเองได้ก็พอ”
อีกวิชาหนึ่งที่ครูโบว์เลือกในโมดูลที่ 2 คือ การจัดการเรียนการสอนสะเต็มศึกษาในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สนับสนุนด้วยเทคโนโลยี แต่ด้วยวงเล็บว่า เป็นการเลือกแบบตกกระไดพลอยโจน เพราะวิชาที่เธอตั้งใจเลือกจริงๆ คือ ห้องเรียนแห่งความสุข (Dialogue: Happy Classroom)
“จริงๆ อยากเลือกเรียน ‘ห้องเรียนแห่งความสุข’ เพราะคือเป้าหมายของเราว่าอยากทำยังไงก็ได้ให้เด็กๆ สนุกกับการเรียน แต่ตารางเวลาของเราไม่ได้ สุดท้ายจึงเลือก STEM ไป ซึ่ง ตอนแรกเราเข้าใจว่าคงเป็นการอบรมเรื่อง STEM ทั่วไป แล้วเราก็เป็นครูวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว เราผ่านการอบรมเรื่องนี้ทุกปี เลยไม่คิดว่าจะมีอะไรใหม่
“แต่พอเข้าไปเรียนจริงๆ ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก โดยเฉพาะการออกแบบห้องเรียนวิทยาศาสตร์มันสนุกและใกล้ตัวได้อย่างไร ที่ปรับความคิดโบว์มากๆ คือการใช้ดอกมูราคามิออกแบบการเรียน ครูส่วนใหญ่ต้องมีแผนการสอนอยู่แล้วเนอะ แต่มันเป็นแบบฟอร์มราชการ เขียนทีไรจะทรมานมาก แต่ดอกมูราคามิทำให้การออกแบบการสอนง่ายมาก แค่เขียนคีย์เวิร์ดลงไปในกลีบดอกไม้ ช่องนี้คือ strategy, ช่องนี้คือ learning เราแค่ใส่คำเล็กๆ รอบๆ กลีบดอกไม้เท่านี้ก็พอ ไม่เห็นต้องทำแผนแบบ 7-8 หน้าเลย”
โมดูลที่3: พัฒนาและออกแบบกระบวนการเรียนรู้
ไม่ใช่แค่การเปลี่ยน ‘พื้นที่ในห้องเรียน’ แต่ครูโบว์ขยายรากการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ทำงานของตัวเอง ‘ครูปล่อยของ’ นนทบุรี คือหนึ่งในโปรเจ็คต์นั้น
“เห็นงาน ‘ครูปล่อยของ ปทุมธานี’ แล้วอยากทำบ้าง แค่นั้นเลย (หัวเราะ) ไอเดียแรกมีแค่ เราเห็นว่าครูในนนทบุรีไม่มีพื้นที่ให้เรามาแลกเปลี่ยน พูดคุย เจอกัน หรือเป็นพื้นที่ในการแชร์ไอเดีย ซึ่งไม่ใช่การพูดคุยเชิงวิชาการนะ แต่เป็นในลักษณะกัลยาณมิตร เป็นเพื่อน
วิธีการออกแบบกิจกรรมดังกล่าว ครูโบว์เล่าว่าเธอได้แรงบันดาลใจจากโมดูลแรก ‘สำรวจจิตใจของตัวครูเอง’ มาเต็มๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในงานทั้งหมด 7 กิจกรรมภายใน 1 วัน จึงเป็นการชวนคุณครูทบทวนชีวิตและไฟฝันก่อนมาเป็นครู ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนรูปถ่ายแต่ละช่วงชีวิต ชวนแลกเปลี่ยนปัญหา ความอึดอัดใจที่อาจไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เล่นบอร์ดเกมชวนคลี่คลายปัญหาในใจ และสุดท้ายคือกิจกรรมชวนออกแบบห้องเรียนสร้างสรรค์
“โบว์เชื่อว่าการกลับมาถามตัวเองว่าเราเป็นใคร รู้ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ ได้ทบทวนว่าสิ่งที่ทำมา เราเอียงจากเสาเดิมที่เคยตั้งหลักไว้มาไกลแค่ไหน ย้อนกลับมาดูว่าทุกวันนี้ที่เราเป็นครู เราได้เป็นครูแบบที่เคยฝันไว้หรือเปล่า เมื่อคนเราได้ทบทวน เราจะกลับไปสู่จุดที่เคยตั้งใจไว้ได้ไม่ยาก”
ต้องขีดเส้นใต้ไว้ด้วยว่าการจัดกิจกรรมทั้งหมดไม่เคยราบรื่น ตลอดการเตรียมงานมีอุปสรรคนานัปการเกิดขึ้น แต่ครูโบว์เดินหน้าเต็มที่เพื่อให้งานวันนั้นเกิดขึ้น เพื่อวางอิฐก้อนแรกแห่งการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ตัวเองได้สำเร็จ ทั้งยังไม่ย่อท้อ มีแผนจะขยายเครือข่ายการเปลี่ยนแปลงทั้งในและนอกพื้นที่ตัวเองให้ไกลขึ้นเรื่อยๆ
“การเปลี่ยนแปลงต้องใช้ความกล้าหาญ เพราะการอยู่ในที่แบบเดิม น้ำเดิม ทิศทางการไหลของน้ำเป็นทิศเดิม ถ้าไม่เข้มแข็งพอก็ยาก แต่โบว์เชื่อว่า ถ้าโบว์เป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่ยืนต้นอย่างแห้งแล้งในบ้านของเราเอง โบว์ก็จะขอแทงรากออกไปนอกรั้ว ให้รากไปโตในพื้นที่อื่น ถ้าพื้นที่ข้างนอกมันอุดมสมบูรณ์ขึ้นเพราะเราหรือเพราะต้นไม้ต้นอื่นๆ พื้นที่แห้งแล้งข้างในต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตาม”
ครอบครัว ‘ครูก่อการ’
แม้จะเป็นเวลาเพียง 2 วันที่ได้ตามติดชีวิตครูโบว์ แต่ก็เป็น 2 วันที่ไม่เคยเห็นโทรศัพท์ของครูว่าง มีสายโทรเข้าออกแทบทุก 1 ชั่วโมง เป็นสายจากนักเรียนที่โทรมาขอต่อรองเพื่อเปลี่ยนสถานที่เรียน ขอไปเรียนที่สนามบาส ห้องแนะแนว โรงยิม กระทั่งขอไม่เรียนเลยก็มี!
ขณะเดียวกันนั้นครูโบว์ก็ต้องสลับร่างเปลี่ยนหมวกไปเป็นครูฝ่ายกิจการนักเรียน ตั้งแต่เดินเข้าไปสอบถามนักเรียนด้วยน้ำเสียงหยอกเย้ากึ่งเล่นกึ่งจริงว่า ‘เมื่อกี๊มีสัตว์ประหลาดหลุดออกมาจากคำพูดของเด็กๆ หรือเปล่า?’ บ้างเป็นนักเรียนทั้งเฮี้ยว ไม่เฮี้ยว ทุกเพศวัยผลัดแวะเข้ามารายงานความประพฤติด้วยสำนวนวัยรุ่นอยู่ตลอด
หลายครั้งเช่นกัน มีเด็กที่ตกอยู่ในภาวะต่างๆ เช่น ซึมเศร้า ถูกขึ้นบัญชีห้องกิจการว่าเกี่ยวข้องกับสารเสพติด หรือแม้แต่เด็กที่แอบสั่งฟาสต์ฟู้ดมากินในรั้วโรงเรียน ต่างก็หนีห้องเย็นแล้วเดินมา ‘เล่า’ เรื่องราวซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรงให้ครูโบว์คนนี้ฟัง
ทั้งหมดนี้จึงไม่แปลกใจเลย เมื่อครูโบว์ตอบคำถามเรื่องความฝันในอนาคตด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “ความฝันเหรอ? ฝันอยากหนีออกไปจากบรรยากาศการศึกษาแบบนี้” แต่ยังไม่ทันจบประโยคดี เธอต่อท้ายประโยคนั้นว่า
“แต่ถ้าทำแบบนั้น เด็กๆ ที่เหลือจะทำยังไง” แม้เป็นประโยคคำถาม แต่คล้ายกับการตอบคำถามให้ตัวเอง
ใช้ประโยคคำถามที่ครูโบว์ถามลูกศิษย์บ่อยๆ – การได้เป็นหนึ่งใน ‘ก่อการครู’ รู้สึกอย่างไร?
“รู้สึกไม่โดดเดี่ยว (ตอบเร็ว) ได้รู้ว่าเราไม่ได้เป็นครูคนเดียวที่อยากรู้ว่าเด็กรู้สึกยังไง ไม่ใช่คนเดียวที่ซัฟเฟอร์กับระบบ รู้ว่าไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง แต่ยังมีครูอีกเกือบร้อยชีวิตที่คิดแบบนี้ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้โบว์มากๆ คือครูก่อการกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนรุ่นใหม่หมดเลย มันไม่ได้ทำให้โบว์รู้สึกแก่เลยนะ แม้ว่าตอนที่เขาให้ยืนเข้าแถวตามอายุโบว์จะยืนอยู่ลำดับท้ายๆ ก็เถอะ (หัวเราะ)
“แต่รู้สึกว่า ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง ความเชื่อ ความศรัทธาของน้องๆ เหล่านี้ในการเปลี่ยนแปลงอาจหมดไป”
ก่อนจากกัน ครูโบว์ตอบคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง ‘ฝันของครูโบว์ ณ ตอนนี้คืออะไร?’
“นอกจากอยากทำให้ห้องเรียนสนุก เด็กๆ ไม่อึดอัด ไม่รู้สึกว่าเราเป็นผู้คุม โบว์อยากเห็นครูมีไฟ รู้ว่าตัวเองสำคัญจริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นอาชีพที่สังคมยกย่อง แต่ครูคือคนหนึ่งที่ออกแบบประเทศนี้ได้ เราอยากฝากประเทศนี้ไว้กับคนแบบไหน ทำเลย ทำโดยไม่สนใจว่าระบบจะเป็นอย่างไร เพราะการปฏิรูปการศึกษา อยู่ในห้องเรียน”