“หนูไม่เข้าใจ ครูสอนอะไร” Teach from Home อย่างไร ครูกับเด็กยังใกล้ เข้าใจและไม่ง่วง

หลังลองผิดลองถูกมาร่วมเดือน จากการต้องโยกย้ายการเรียนการสอนสู่ห้องเรียนออนไลน์ อาจารย์จ๊อย-ปวีณา แช่มช้อย หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งก่อการครู ซึ่งสอนด้านการออกแบบและการจัดกระบวนการเรียนรู้ รวมไปถึงการโค้ชเพื่อการเปลี่ยนแปลง ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ได้ตกผลึกกับตัวเองว่า

“เวลาออกแบบกระบวนการเรียนรู้ออนไลน์ อย่าเพิ่งคิดว่าออฟไลน์เรามีอะไร แล้วเราจะแปลงสิ่งที่ทำจากออฟไลน์มาเป็นออนไลน์ได้อย่างไร ถ้าคิดแบบนี้ ข้อจำกัดจะเยอะ เราจะนึกไม่ออก แต่ให้เริ่มคิดบนฐานที่ว่า ตอนนี้ออนไลน์เรามีอะไร ออนไลน์มันเล่นอะไรได้บ้าง แล้วเราค่อยลองทีละนิดๆ จะเห็นได้เลยว่าความเป็นไปได้มันกว้างกว่า คิดแบบนี้จะง่ายกว่า”

ไม่ต่างจากครูและเด็กนักเรียนทั่วประเทศ ที่อยู่ๆ ก็เหมือนถูกโยนลงทะเล ให้แหวกว่ายเอาตัวรอดกับการเรียนการสอนบนแพลตฟอร์มใหม่ ไหนจะความเหลื่อมล้ำที่ขยายรูกว้าง ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ไม่คุ้นเคย

อาจารย์จ๊อย-ปวีณา แช่มช้อย

สิ่งที่เกิดตามมาคือ ความสัมพันธ์ของครูและศิษย์ที่ไม่ใกล้กันเหมือนเดิม 

“การเรียนในวิชาของเรานั้น พื้นฐานหลักคือ เรียนเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ทำความเข้าใจมนุษย์ ทำความเข้าใจตนเอง และทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน แต่เราจะทำอย่างไรให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ใกล้เคียงกับห้องเรียนที่เขาเคยเรียนให้ได้มากที่สุด”

เมื่อโจทย์เป็นเช่นนี้ อาจารย์จ๊อยจึงตั้งต้นด้วยการหาว่า โปรแกรมใดบ้างที่ยังคงรักษาสภาพความสัมพันธ์ของมนุษย์ได้มากที่สุด

และโปรแกรมนั้นคือ ZOOM

ห้องเรียน ZOOM สร้างความสัมพันธ์

ไม่ใช่ทุกวิชาที่เหมาะกับการเรียนออนไลน์ โดยเฉพาะในห้องเรียนของอาจารย์จ๊อย ที่มักพานักศึกษาไปพบประสบการณ์เรียนรู้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการชวนเล่น ตั้งคำถาม เล่นละคร หรือการชวนทำกิจกรรมบทบาทสมมุติ (role playing) ฯลฯ

เหล่านี้ล้วนอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น แต่เมื่อ COVID-19 คือไฟต์บังคับให้นักศึกษาต้องปรับและครูต้องเปลี่ยน ความโกลาหลในช่วงแรกจึงเริ่มขึ้น

“ด้วยเพราะธรรมชาติของอาจารย์คณะนี้จะลำบากมาก เพราะปกติแล้วเราจะจัดการเรียนการสอนกันเป็นทีม บางวิชามีอาจารย์สอน 4-5 คน ซึ่งปกติเราก็จะประชุมเตรียมสอนกันอยู่แล้วว่าเราจะทำกิจกรรมอะไรดี”

ความยากลำบากข้อต่อมาคือ เพราะวิชากลุ่มนี้ไม่ได้เน้นเลคเชอร์ที่จะแบ่งบทบาทระหว่างผู้ฟังและผู้พูด (ซึ่งมีมากกว่า 1 คน) อย่างชัดเจน 

“เดี๋ยวเธอบรรยายพาร์ทนี้นะ ส่วนฉันจะบรรยายพาร์ทนี้ต่อ แต่เราออกแบบกระบวนการร่วมกันว่าเราจะพานักศึกษาไปพบประสบการณ์อะไรในห้องเรียนบ้าง ทำกิจกรรมอะไรดี เราจึงชินกับการทำงานเป็นทีม และชินกับตัวกิจกรรมมากกว่าการบรรยายเนื้อหา” 

กว่าจะลงตัวถือว่างานหิน แต่เมื่อเหล่าอาจารย์ทำงานกันเป็นทีม แบ่งปันความรู้ทางเทคโนโลยี เทคนิคไอเดีย และออกแบบกิจกรรมร่วมกัน อีกทั้งทางคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์สนับสนุนการทำงานโดยการจัดซื้อแอคเคาท์โปรแกรมต่างๆ เช่น ZOOM, IMS (ระบบการจัดการชั้นเรียนที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์), Camtasia ช่วยในการบันทึกการบรรยายเนื้อหาบทเรียน ความโกลาหลในช่วงแรกจึงคลายลง และการเรียนการสอนออนไลน์จึงเริ่มขึ้น

“ตัวโปรแกรมที่ใช้อย่าง ZOOM มันมีลักษณะคล้ายกับห้องเรียนที่เรียนกันปกติในระดับหนึ่ง คือปกติแล้ว ถ้าไม่นับตัวกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวมากนัก โครงสร้างของการสอนในคณะโดยเฉพาะทางด้านที่เราสอนอยู่ จะเหมือนอาจารย์ชวนคุย แล้วให้นักศึกษาแยกกลุ่มย่อยไปคุยกัน แล้วกลับมาคุยกลุ่มรวม ซึ่ง ZOOM ทำได้  สามารถแบ่งห้องย่อยได้ และครูก็สามารถเข้าไปสังเกตการณ์ในห้องย่อยนั้นๆ ได้ สามารถส่งข้อความหาแต่ละห้องย่อยพร้อมๆ กันได้” 

ฟังก์ชั่นที่อาจารย์จ๊อยพูดถึงข้างต้นคล้ายกับที่เคยสอนออฟไลน์อยู่แล้ว เช่น ฟังก์ชั่นไวท์บอร์ด หรือ share screen ที่นักศึกษาสามารถเรียนร่วมกันได้ มันจึงมาแทนที่กระดาษฟลิปชาร์ทที่ต้องนั่งล้อมวงกันและทำงานร่วมกัน 

“สามารถเปิดคลิปแล้วดูร่วมกันได้ผ่านการ  share screen แม้กระทั่งฟังก์ชั่นการเมาท์มอยในห้องเรียน ZOOM ก็สามารถแยกเป็นแชทส่วนตัวให้นักเรียนเมาท์มอยกันได้ (หัวเราะ) ไปจนถึงฟังก์ชั่นการล็อคห้อง ‘เธอมาสาย ฉันจะล็อคห้องไม่ให้เข้า’ มันก็ทำได้  (หัวเราะ)” 

เพราะการเรียนรู้ คือเรื่องของความสัมพันธ์

สิ่งสำคัญที่อาจารย์จ๊อยเน้นคือเรื่อง relationship หรือความสัมพันธ์ระหว่างครูและผู้เรียน ที่เมื่อเป็นการสอนออนไลน์เช่นนี้ ครูอาจจะไปติดอยู่แค่การออกแบบกิจกรรมให้สนุกสนาน หรือใช้เทคโนโลยีชวนตื่นเต้น จนความเข้าใจของผู้เรียนและความใกล้ชิดถูกลดทอนลง 

โดยเฉพาะการออกแบบประสบการณ์ให้ผู้เรียน อาจารย์จ๊อยจะไม่คิดแยกว่าอันไหนออฟไลน์ อันไหนออนไลน์ เพราะการคิดในพิมพ์เขียวเดียวกันแบบนี้ จะทำให้ง่ายขึ้น

“เช่น เราอยากพาเขาไปรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทย… แล้วประสบการณ์แบบไหนที่เราอยากให้เขารู้ล่ะ เราอยากให้เขารู้ว่า สมัยนั้นคนใช้ชีวิตอย่างไร? เราทำอย่างไรได้บ้าง เอารูปให้ดูพอไหม เล่าให้ฟังพอไหม เปิดคลิปได้ไหม หรือถ้าไม่เปิดคลิป พาทำบทบาทสมมุติไหม … มันเล่นได้หลากหลายกว่ามากถ้าเราคิดว่าเรากำลังออกแบบประสบการณ์ให้เขา”

ฉะนั้นประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวกิจกรรม แต่อยู่ที่การคิดว่า ‘ไม่สอน’ 

“คิดว่าจะทำให้เขาได้รับประสบการณ์บางอย่างเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ อันนี้ง่ายกว่า”

ปวีณา แช่มช้อย

ตัวอย่างกระบวนการเรียนรู้ออนไลน์ที่ออกแบบเองโดยนักศึกษา อาจารย์จ๊อยเล่าว่า มีตั้งแต่การทำบทบาทสมมุติ เล่นเกมจับเวลาคิดคำ จับกลุ่มแชร์ประสบการณ์ชีวิต ไปจนถึงพาเพื่อนภาวนาผ่าน ZOOM

“บางคนทำกิจกรรมฐานใจ เหมือนการชวนเพื่อนนั่งสมาธิ มีการเปิดเพลง พาเพื่อนทำกิจกรรม body scan (การเยียวยาร่างกายและจิตใจ ด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ) พาเพื่อนจินตนาการร่วมกันแล้วภาวนาไปด้วยกัน (หัวเราะ) แล้วให้เพื่อนจับคู่คุยกัน หรือจับกลุ่มคุยกัน อย่างนี้ก็ทำได้”

ในวิชาการออกแบบและการจัดกระบวนการเรียนรู้ของอาจารย์จ๊อย นักศึกษาจะต้องฝึกจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับเพื่อนในห้องเรียน ผู้สอนมีหน้าที่คอยแนะนำให้เข้าที่เข้าทาง ฟีดแบคกระบวนการ และคอยเชื่อมโยงให้เห็นถึงที่มาที่ไปหรือแนวคิดเบื้องหลังในการจะจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้อื่น 

“เช่น ในวิชาการจัดการความขัดแย้ง จะเรียนเรื่องหลักการพื้นฐานในการสื่อสารสร้างสันติ ก็อาจจะให้นักศึกษานำเอาเรื่องราวความขัดแย้งที่มีในชีวิตออกมาแลกเปลี่ยนกัน และให้เพื่อนได้ฝึกทำความเข้าใจเหตุการณ์ของเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า หรือฝึกทักษะการเป็นคนกลางก็อาจจะไปหาเคสมาวิเคราะห์ร่วมกัน เช่น เคสความขัดแย้งระหว่างประเทศ ความขัดแย้งในระดับชุมชนหรือสังคมทั่วไป แล้วนำมาวิเคราะห์ร่วมกันว่า จริงๆ แล้วมันมีรากมาจากอะไร” 

มากกว่านั้น ทักษะการเป็นคนกลางแบบขั้นพื้นฐาน นักศึกษาอาจใช้บทบาทสมมุติ (role playing) ผ่านเพื่อน 2-3 คน อาจจะสมมุติสถานการณ์ความขัดแย้งจนถึงขั้นทะเลาะกัน แล้วให้คนที่สามเป็นตัวกลาง 

“สิ้นเดือนนี้จะมีสอบการเป็นคนกลางด้วยนะ ให้เพื่อนตีกันแล้วให้สอบไกล่เกลี่ย (หัวเราะ)”

distance together: ในความห่าง เราต่างอยู่ด้วยกัน 

แม้เทคโนโลยีจะช่วยเข้ามาคลี่คลายปัญหาการเรียนออนไลน์ได้บางส่วน ทว่าข้อจำกัดมีไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องของ ความสัมพันธ์ ทั้งระหว่างครูกับผู้เรียน ผู้เรียนกับเพื่อน ผู้เรียนกับเนื้อหา เหล่านี้ถือเป็นโจทย์ใหญ่ และอาจารย์จะต้องใช้พลังมหาศาลในการเชื่อมร้อยและยึดโยงความสัมพันธ์นี้

“วันแรกเขาก็แห่กันมาเรียนเลยล่ะ เขาอยากรู้ว่าอาจารย์จะสอนอย่างไร ถ้าเกิดว่าทำออกมาสนุกสนานแต่ว่าข้างในของนักศึกษาเขายังไม่อิ่มกับสิ่งที่เรียน เดี๋ยวเขาก็ไป ตอนนี้ ช่วง honeymoon period มันหายไปแล้ว ก็จะเริ่มรู้สึกว่ายากจัง ไม่เหมือนในห้องเรียนเลย คิดถึงห้องเรียน”

สเต็ปจะเป็นอย่างนี้ เมื่อคลาสออนไลน์ผ่านไปได้สักหนึ่งสัปดาห์ นักศึกษาจะเริ่มกลับมาโหมดเดิม คือ โหมดประสบการณ์เรียนรู้ 

“เพราะฉะนั้น เขาจะสนใจเนื้อหาที่เขาเรียน และเขาจะสนใจความเข้าใจของเขา และเขาจะสนใจวิธีการที่เขาเรียน เขาจะไม่สนใจความออนไลน์หรือออฟไลน์แล้ว แต่เขาจะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และทรัพยากรที่เขามีอยู่ ณ ตอนนี้”

อาจารย์จ๊อยยกตัวอย่างการสอบวิชาการโค้ช ที่ปกติแล้ว นักศึกษาจะต้องมาโค้ชตัวต่อตัวกับอาจารย์ แต่เมื่อสถานการณ์ทำให้พวกเขาต้องโค้ชออนไลน์ แน่นอนว่า สร้างข้อกังวลไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้ว อาจารย์จ๊อยค้นพบว่า การสอบปฏิบัติการโค้ชออนไลน์นั้นยังทำได้ โดยมีหัวใจสำคัญ นั่นคือ ครูต้องอยู่กับผู้เรียน ณ ช่วงเวลานั้นจริงๆ 

“นักศึกษาถูกสอนมาตลอดการเรียนว่า การที่เราอยู่ด้วยกันและเจอหน้ากันนั้น เราอ่านพลังงานของคนอื่นได้ อ่านความสัมพันธ์ได้ อ่านภาษากายได้ และพอมันออนไลน์ มันเห็นกันแค่ครึ่งตัว เขาก็ค้นพบนะว่ามันทำได้ ถ้าอยู่ด้วยกันจริงๆ สังเกตจริงๆ เปิดหูเปิดตา แล้วอยู่กับเพื่อนๆ ในชั้นเรียนจริงๆ”

อาจจะเรียกบรรยากาศแบบนี้ว่า alone together แต่สภาพจริงคือ distance together ไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์  

“สิ่งสำคัญที่สุดคือ relationship (ความสัมพันธ์) และ connection (การเชื่อมโยง) ระหว่างอาจารย์กับผู้เรียน ผู้เรียนกับบทเรียนของตัวเอง และผู้เรียนกับวิธีการที่เขาเรียนอยู่ ถ้าเขาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มีความหมายกับตัวเขาเมื่อไหร่ เขาเรียนได้ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มใดก็ตาม”

ความสัมพันธ์สร้างได้ผ่านออนไลน์ ข้อนี้อาจารย์จ๊อยยืนยัน

ครูต้องทำงานเป็นทีม สร้างประสบการณ์และความสัมพันธ์ 

อาจารย์จ๊อยชวนมองไปถึงการเรียนออนไลน์ในรั้วโรงเรียน ซึ่งการจัดเรียนการสอนออนไลน์นั้นถือว่ายากยิ่ง ด้วยข้อจำกัดมหาศาล ไม่ว่าจะความเหลื่อมล้ำทางการเข้าถึงเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ข้อจำกัดทางสมาธิของเด็กในการจดจ่อบทเรียนผ่านหน้าจอ ชีวิตเด็กๆ หลายคนก็ไม่ได้เอื้อให้มีที่สงบๆ สำหรับเรียนออนไลน์ด้วยข้อจำกัดและปัญหารายล้อมรอบด้าน ครูในโรงเรียนอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการทำงาน ด้วยการแท็กทีมครูเพื่อออกแบบการเรียนรู้ร่วมกัน 

  • ครูต้องทำงานเป็นทีม

“ครูต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม ถึงแม้ว่าครูแต่ละคนจะสอนและมีห้องเรียนของตัวเอง แต่อาจจะต้องทำงานและออกแบบร่วมกันว่าตกลงจะใช้แนวทางไหน เพราะว่าแพลตฟอร์มออนไลน์มีหลายโปรแกรม หลายเว็บให้เลือกใช้ แต่ถ้าครูแต่ละวิชา แต่ละชั้น ใช้แพลตฟอร์มหรือเครื่องมือที่ต่างกันไป แปลว่าเด็กหนึ่งคนอาจจะต้องโหลดประมาณ 20 โปรแกรม แล้วก็ต้องมานั่งนึกว่า ฉันเรียนวิชานี้ ฉันต้องใช้โปรแกรมอะไร ครูคนนี้สอนด้วยโปรแกรมอะไร มันสับสน” 

  • รักษาประสบการณ์การเรียนรู้

“ไม่ใช่แค่ให้หนังสือไปอ่านที่บ้านแล้วทำงานมาส่ง ส่วนหนึ่งเด็กอาจจะต้องหาความรู้ด้วยตัวเองแต่ต้องมีพื้นที่ให้เขาได้ถกเถียง เพราะว่าความรู้ต่างๆ ส่วนมากจะงอกงามจากการที่เราได้ติดต่อสื่อสาร พูดคุย อภิปรายกัน ถ้าตัดช่องทางนี้ไป ความรู้ไม่เกิด มันจะกลายเป็นการเรียนในระบบแบบธนาคาร banking education การเอาความรู้ไปฝากไว้ให้ แล้วมองว่าผู้เรียนไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ท้ายที่สุด การศึกษามันก็จะพัง”

  • รักษาความสัมพันธ์

“เมื่อครูต้องการรักษาความสัมพันธ์กับผู้เรียนไว้ ก็ต้องมีการสื่อสารกับนักเรียน พยายามสร้างการเชื่อมโยงเพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ต่อไป แต่ละโรงเรียนอาจจะต้องวางนโยบายเรื่องแนวทางทางจริยธรรมในการติดต่อกับผู้เรียน ว่าเราจะให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้เรียน กับครูแค่ไหน เพราะบางทีครูก็อาจจะอยากสานต่อหรือคงความสัมพันธ์ของครูกับผู้เรียนไว้ ที่ทำให้ครูไม่รู้สึกว่าคุกคามเด็ก หรือเด็กรู้สึกว่าครูเข้าใกล้เกินไป ไม่ทำให้เด็กชินว่าจะติดต่อกับครูเมื่อไหร่ก็ได้ มันเป็นเรื่องการเคารพและไม่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของแต่ละคน”

และการเชื่อมต่อความสัมพันธ์นั้น ถ้ายังคง 3 สิ่งนี้ไว้ได้ ต่อให้ออนไลน์หรือออฟไลน์ ครูก็รอด

1. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

ครูจะต้องคุยกันเพื่อเช็คความสัมพันธ์ด้วยว่า เราจะเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ในชั้นเรียนอย่างไร ผู้เรียนกับครู ครูกับนักเรียนแต่ละคน นักเรียนกับนักเรียนด้วยกัน ซึ่งก็คือ human touch

2. เนื้อหากับผู้เรียน 

เด็กจะเชื่อมโยงเนื้อหาที่เรียนให้เข้ากับชีวิตเขาได้อย่างไร เพื่อให้เขาเห็นว่า สิ่งที่เรียนมีความหมายกับชีวิต ประกอบกับสถานการณ์ COVID-19  สถานการณ์ชีวิตเด็กอาจจะเปลี่ยนไป แล้วสิ่งที่เด็กเรียนอยู่นั้นสำคัญไหม? แล้วเด็กเห็นไหมว่าสิ่งที่เรียนนั้นมีคุณค่าและมีความหมายต่อเขา 

3. ผู้เรียนกับวิธีการที่เขาเรียน 

การเชื่อมโยงระหว่างผู้เรียนกับกระบวนการที่เขาหาความรู้ ซึ่งอาจจะมาจากการสอนผ่านออนไลน์ของครู หรือจากการอยู่บ้านแล้วเด็กหาความรู้ด้วยตัวเองและสามารถเชื่อมโยงเข้ากับชีวิตได้

ถ้าเด็กรู้สึกว่าการเรียนออนไลน์นั้นไม่มีความหมายหรือไม่มีคุณค่า เขาจะโหยหาแต่การเรียนออฟไลน์ และไม่สนใจการเรียนออนไลน์อีกเลย 

ทักษะที่จำเป็นสำหรับครูในยุค COVID-19 

ขณะที่ครูมีหน้างานที่ต้องจัดการมากมาย เด็กๆ เองก็เช่นกัน ยิ่งในบรรยากาศที่ความสัมพันธ์ถูกลดทอนและชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิม อาจารย์จ๊อยมองว่า เราต่างต้องการความเข้าอกเข้าใจกันในสภาวะเปราะบาง และการสื่อสารที่ไม่สร้างความกลัว 

“ครูบางคนอาจจะรู้สึกว่า ทำไมเด็กไม่ขยันเหมือนเดิม เด็กไม่สนใจ จริงๆ แล้วผู้เรียนเขาก็มีปัญหาหน้างานเหมือนกัน เขาต้องอยู่บ้าน ห่างเพื่อน ชีวิตเขาเปลี่ยนเหมือนกัน ฉะนั้น ช่วงเวลาที่ทุกๆ คนกำลังเปลี่ยนผ่าน แต่ละคนก็จะมีวิธีการจัดการกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในแตกต่างกันไป บางคนอาจจะซึมเศร้า หรือไปไม่เป็น”

นอกจากการทำความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และเอาใจใส่นักเรียนแล้ว อีกสิ่งที่ครูมักหลงลืมไป คือการเข้าใจตนเองในสภาวะที่ต้องเผชิญปัญหารอบด้านและพยายามหาทางสร้างการเรียนรู้ที่ดีที่สุดให้กับนักเรียน 

“ครูเองเผชิญปัญหาหลากหลายด้านมาก ทั้งเปลี่ยนแพลตฟอร์ม ทั้งกระทรวงฯ ที่เปลี่ยนนโยบาย ต้องทำอันนั้นอันนี้ การประเมินก็ต้องทำเอกสารเหมือนเดิม แล้วยังต้องสอนออนไลน์ ครูต้องรู้เท่าทันตนเอง เข้าใจตนเองและตระหนักรู้ว่า ณ ขณะนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้างกับข้างในตัวเอง ขณะเดียวกันก็ทำความเข้าใจผู้เรียนรวมไปถึงเพื่อนร่วมงานด้วย”

และอีกทักษะที่จำเป็น คือการสื่อสารที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และเป็นมิตร

“ครูต้องสื่อสารผ่านตัวหนังสือเยอะขึ้น จากเดิมที่ใช้การพูด เจอหน้า หรือเด็กสามารถยกมือถามได้ พอต้องใช้ตัวหนังสือ ครูจะเขียนอธิบายอย่างไรให้ชัดเจน เข้าใจง่าย และเป็นมิตรเพียงพอที่เมื่อเด็กอ่านแล้วเขาไม่เข้าใจ เขาก็ถามครูได้ว่า ‘ที่ครูเขียนไปอย่างนั้น ครูหมายความว่าอย่างไร หนูไม่เข้าใจ’ รวมไปถึงการตามคุย ตามเช็ค ตามสื่อสารกับผู้เรียนแบบตัวต่อตัว”

การสื่อสารแบบตัวต่อตัว สำคัญอย่างไรกับการรักษาความสัมพันธ์กับนักเรียน 

สำหรับอาจารย์จ๊อย ข้อนี้ถือว่าสำคัญ เพราะการให้ความสนใจนักเรียนเป็นรายบุคคลนั้น จะสร้างแรงจูงใจต่อการเรียน การมีส่วนร่วม และการใช้ชีวิตให้ผู้เรียนได้มากกว่าการให้ความสนใจแบบรวมๆ 

“เรื่องนี้มีงานวิจัยว่า ถ้าครูสนใจนักเรียนแบบปัจเจก จะทำให้เด็กมีส่วนร่วมในชั้นเรียนมากขึ้น มีแรงจูงใจมากขึ้นในการเรียนรู้สิ่งที่ตัวเองเรียน แต่ถ้าครูให้ความสนใจในคลาสแบบรวมๆ แรงจูงใจกับการมีส่วนร่วมจะไม่เยอะ ซึ่งพอมันเป็นออนไลน์ ก็เป็นโจทย์ว่า คุณครูจะทำอย่างไรถึงจะสามารถให้ความสนใจผู้เรียนในแต่ละคนได้ เพราะอยู่โรงเรียนยังสามารถเดินไปทักทาย เดินผ่านก็เรียกมาหา ตรงนี้จึงเป็นโจทย์ใหญ่ในการสอนออนไลน์ แต่ถ้าครูสอนแบบเรียลไทม์ ครูยังสามารถถามผู้เรียนรายคนได้ หรือถามหลังไมค์ได้”

พลิกโควิด เป็น Learning Zone

“เรามองว่า วิกฤติครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต เพราะปกติแล้ว การเปลี่ยนแปลงและการเติบโตมักจะไม่เกิดในภาวะที่ทุกคนรู้สึกสบาย แต่จะเกิดในภาวะที่ทุกคนรู้สึกสับสนวุ่นวาย  ในภาวะที่เจอปัญหารอบด้าน จะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมก็ไม่ได้ จะไปข้างหน้าก็ไม่รู้จะไปอย่างไร”

อาจารย์จ๊อยอธิบายสภาวะ ณ ปัจจุบันว่าเป็น Learning Zone หรือพื้นที่กำลังพอเหมาะต่อการเติบโตของมนุษย์ ต่อการเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ต่างๆ และเป็นสภาวะที่มนุษย์มีสมรรถนะทางการเรียนรู้พุ่งแรงกว่าในสถานการณ์ปกติ 

“สภาวะนี้มันผลักให้ทุกคนพยายามจะเรียนรู้วิธีการเรียนรู้แบบใหม่อย่างรวดเร็ว ครูบางคนไม่เคยสอนออนไลน์ก็ต้องผลักตัวเองในเวลาเพียงไม่กี่วัน มันต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ มันไม่มีทางเลือกมากว่านั้น มันเหลือทางเลือกเพียงทางเดียวที่ต้องทำคือ เรียนรู้” 

เมื่อครูทั่วโลกต่างประสบกับชะตากรรมเดียวกัน ชุมชนแห่งการช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนความรู้ของนักการศึกษาทั่วโลกจึงขึ้นเกิดในโลกโซเชียล อาจารย์จ๊อยเล่าว่าการสอนออนไลน์ในหลายวิชานั้นยากมาก เช่น การเต้นบัลเล่ต์ ทว่าไอเดียที่ถูกแลกเปลี่ยนกันทั่วโลกนั้น คือความเป็นไปได้มหาศาล 

“เช่น ครูสอนเด็กประถม ให้เขาเล่นเกมมหาสมบัติกัน เขาทำลิสต์ของต่างๆ แล้วเอาขึ้นหน้าจอให้เด็กดูใน ZOOM แล้วให้เด็กแต่ละคนไปวิ่งหาของในบ้านแข่งกัน พอเเข่งกันเสร็จเขาจะแบ่งเด็กออกมาเป็นกลุ่มย่อยๆ แล้วให้เวลาคนละ 5 นาที ผลัดกันโฆษณาขายของชิ้นนั้นให้เพื่อน หรือครูสอนศิลปะการแสดงบางคนก็สอนบัลเล่ต์ออนไลน์ ทุกคนมายืนด้วยกันใน ZOOM แล้วก็เต้นๆ ก็มีนะ มันก็ไปได้นะ”

หรือกระทั่งด้านศิลปะการแสดง…

“เราไม่คิดว่า วิชาด้านศิลปะการแสดงจะอยู่รอดในออนไลน์ได้ แต่เขาก็ยังเกิดการจัดแสดงละครออนไลน์ หรือแสดงบัลเล่ต์ออนไลน์ นักบัลเล่ต์ก็เต้นที่บ้าน นักดนตรีออร์เคสตร้าต่างคนต่างก็เล่นอยู่บ้านตัวเองผ่าน ZOOM จัดแสดงพร้อมกันแล้วเปิดให้คนดู มันก็มีไอเดียต่างๆ นานา แปลกใหม่มาก งอกขึ้นมา”

สิ่งนี้คือผลลัพธ์ของสิ่งที่เรียกว่า สภาวะ chaos (วิกฤติ) สู่การ learn (เรียนรู้) และเกิด creation (ความคิดสร้างสรรค์) ในบรรยากาศแห่งความวุ่นวายและระวังภัยซึ่งกันและกัน มนุษย์นั้นเรียนรู้อยู่เสมอ และมากกว่าเรียนรู้คือ การอุบัติของสิ่งใหม่ กับความเป็นไปได้มหาศาล นั่นพออนุมานได้ว่า เมื่อใดที่ COVID-19 พัดผ่านไป หลายสิ่งหลายอย่างอาจถึงคราวเปลี่ยนแปลง

“เรากับนักเรียนอยู่บนเรือลำเดียวกัน เราอยู่ในพายุลูกเดียวกันนะ เราต้องช่วยกันแล้ว อยู่กับพายุลูกนี้ไปด้วยกันให้ได้” อาจารย์จ๊อยทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อและความหวัง

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ