จาก​ #Saveหาดม่วงงาม​ ถึง​ #Saveหาดมหาราช​ ให้กำแพงกันคลื่นหยุดที่รุ่นเรา

ภาพจาก Beach for Life

หลังศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระงับโครงการเขื่อนกันคลื่นหาดม่วงงาม เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 นั่นคือชัยชนะครั้งสำคัญของชาวบ้านหาดม่วงงาม จังหวัดสงขลา ซึ่งในทัศนะของ น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี ผู้ประสานงานกลุ่มเยาวชน Beach for Life มองว่า โจทย์ที่ท้าทายต่อจากนี้คือ “ชนะแล้วจะอย่างไรต่อ?”

“เป้าหมายต่อไปคือ ชุมชนต้องเรียนรู้กระบวนการใช้อำนาจของชุมชนในฐานะพลเมืองที่มีสิทธิในการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิเหล่านี้”

งานของกลุ่ม Beach for Life หลังชัยชนะก้าวแรกของคดีความ คือการติดตั้งกระบวนการทำงานผ่านเครื่องมือที่ชื่อว่า Level Water (อุปกรณ์ในการสำรวจสภาพชายหาด) ที่โดยปกติแล้ว อุปกรณ์ตัวนี้คือเครื่องมือทางวิศวกรรมที่มีราคาสูง Beach for Life ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จึงร่วมกันพัฒนาเครื่องมือนี้ในราคาต่ำ มีความแม่นยำ และนำไปสอนวิธีการใช้ให้กับชุมชน

“Level Water ช่วยให้สามารถอ่านข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำและสภาพรูปร่างชายหาดได้ ต้องสำรวจต่อเนื่องทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน เพื่อเอาข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน เหล่านี้คือกระบวนการที่จะทำให้ชุมชนสามารถติดตามสภาพชายหาดได้ด้วยตัวเอง”

ถัดมาคือเครื่องมือที่ชื่อว่า Beach Zoning (การออกแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายหาด) เมื่อชุมชนสามารถสำรวจและเก็บข้อมูลสภาพชายหาดด้วยตนเองแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นก็จะถูกนำมาประกอบอยู่ในการออกแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายหาด บนความต้องการของชุมชนเป็นหลัก

 “เราชวนชุมชนมาออกแบบว่า หาดที่เขาอยากเห็นในอีก 10 ปีข้างหน้า ควรจะเป็นอย่างไร ใครควรใช้ประโยชน์ตรงไหนเพื่อไม่ให้กระทบกับชายหาดและสิ่งแวดล้อม และเพื่อเสริมประโยชน์ซึ่งกันและกันจนเกิดความยั่งยืน เหล่านี้คือการทำ Beach Zoning ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีใครทำ สงขลาเป็นที่แรก เรารู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์ ทำให้คนจินตนาการอนาคตหาดบ้านเขาได้”

เกิดอะไรขึ้นที่หาดมหาราช

ห่างไปไม่ไกลจากหาดม่วงงามมากนัก แฮชแท็ก Save ชายหาด ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ณ ชุมชนเลียบหาดมหาราช อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ผ่านแคมเปญ #Saveหาดมหาราช จากกรณีโครงการสร้างกำแพงกันคลื่นเช่นเดียวกับที่หาดม่วงงาม 

ในวันที่ 24 กันยายน 2563 กลุ่ม Beach For Life และประชาชนชาวสทิงพระ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสงขลาขอให้ยุติการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมชายหาดมหาราช เนื่องจากโครงการดังกล่าวไม่สามารถทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งอย่างแท้จริง และเป็นโครงการที่ไม่จำเป็นต้องกระทำ อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแล้ว โครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่คุณภาพของสิ่งแวดล้อมและการใช้ประโยชน์ของชุมชนยิ่งกว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ และขัดต่อหลักความจำเป็น

โดยกระบวนการฟ้องร้องคดีความเพื่อปกป้องชายหาดและสิทธิชุมชนยังคงอยู่ในกระบวนการพิจารณาต่อไป 

“ทั้งหาดม่วงงาม และหาดมหาราช ทั้งสองกรณีคือโครงการรูปแบบเดียวกัน และมันคือความท้าทายของทีมงานทั้ง Beach for Life และทีมงานวิชาการ ว่าเราจะพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้อย่างไรว่า โครงการในลักษณะเดียวกันนี้ ถึงแม้ทำไปเยอะแล้ว แต่มันมีผลกระทบกับชุมชน และศาลต้องสั่งหยุด” 

เราจะ SAVE หาดทั้งประเทศ

Beach for Life มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน เเละเครือข่ายนักวิชาการเเละประชาชนผู้ติดตามสถานการณ์ชายหาด ได้ออกแถลงการณ์เพื่อนำเสนอข้อคิดเห็นและข้อเรียกร้องต่อ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนี้ 

  1. เสนอให้มีการพิจารณาทบทวนโครงการก่อสร้างหรือขยายสิ่งก่อสร้างริมทะเล จำพวก กำแพงกันคลื่น ต้องเป็นโครงการหรือกิจการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในโครงการได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจโครงการอย่างแท้จริง ทั้งนี้เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการมีส่วนร่วมกับรัฐเพื่อใช้จัดการ บำรุงรักษา ใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และเป็นการสร้างหลักพึงระวังไว้ก่อนตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
  1. เสนอให้มีการศึกษาและวางแนวทางการป้องกันชายฝั่งด้วยมาตรการชั่วคราว เนื่องจากการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ชายฝั่งหลายพื้นที่เป็นการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งในช่วงมรสุม ระยะสั้น ดังนั้นเพื่อให้การแก้ไขปัญหาสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ชายฝั่งที่มีการกัดเซาะชายฝั่งเพียงชั่วคราว จึงควรมีการกำหนดมาตรการ แนวทางในการวางโครงสร้างป้องกันชายฝั่งแบบชั่วคราว ที่สามารถรื้อถอนได้เมื่อมรสุมผ่านไป เพื่อให้โครงสร้างนั้นป้องกันชายฝั่งในช่วงมรสุมเพียงชั่วคราว และไม่ส่งผลกระทบต่อชายหาดในระยะยาว 
  1. เครือข่ายประชาชนและนักวิชาการที่ห่วงใยต่อชายหาดประเทศไทย สนับสนุนให้มีการกำหนดมาตรการเพื่อการคุ้มครองชายหาดอย่างยั่งยืน เช่น แนวถอยร่น การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ การเติมทรายชายฝั่ง การถ่ายเททราย และมาตรการอื่นๆ ที่ไม่มีผลกระทบต่อชายหาดและเป็นการเก็บรักษาชายหาดธรรมชาติไว้เป็นมรดกทางธรรมชาติของคนไทยต่อไป 

“หากมองในภาพกว้าง การที่ประชาชนต้องต่อสู้เป็นรายคดี (case-by-case)  นั้นใช้พลังงานและเวลาเยอะมากในการขับเคลื่อน กรณีหาดมหาราชก็เช่นกัน ปัญหาของชายหาดคือปัญหาระดับโครงสร้างรัฐและนโยบาย”

น้ำนิ่งได้อธิบายเพิ่มเติมว่า 3 ข้อเรียกร้องข้างต้นนั้นคือก้าวสำคัญในการสร้างบรรทัดฐานทางนโยบายในการปกป้องชายหาด มิใช่เพียงหาดม่วงงามหรือหาดมหาราช แต่เป็นชายหาดทั้งประเทศที่ถูกกระทำโดยโครงการพัฒนาจากภาครัฐ ที่ไร้ซึ่งการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจใดๆ ของชุมชนและประชาชน

“นอกจาก 3 ข้อเรียกร้องแล้ว งานในระยะยาวของเราคือทำอย่างไรให้เกิดการกระจายอำนาจให้กับชุมชนและท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่นมีความยึดโยงกัน เช่น กรณีโครงการก่อสร้างเขื่อนที่หาดม่วงงาม เจ้าของคือกรมโยธาและผังเมือง เวลาชาวบ้านจะร้องเรียนต้องไปนั่งหน้าศาลากลางร้องเรียนกับผู้ว่าฯ ผู้ว่าฯ ก็บอกว่า ผมไม่มีอำนาจ อำนาจอยู่ที่กรมโยธาฯ และผังเมืองส่วนกลางเจ้าของโครงการ เห็นไหมว่า จังหวัดแทบทำอะไรไม่ได้เลย เราต้องไปร้องเรียนกับกรมโยธาฯ และผังเมือง ชาวบ้านต้องนั่งรถไปกรุงเทพฯ ไปฟ้องศาล ซึ่งมีต้นทุนสูงมาก 

“ตราบใดที่รัฐราชการยังคงใหญ่โตและรวมศูนย์ ต่อให้ชาวบ้านทำ Beach Zoning  ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะการสั่งการแบบ top down ก็ยังดิ่งตรงลงมา bottom up ที่ชาวบ้านทำขึ้นไปก็ไม่ได้ถูกตอบรับ เราคิดว่า นี่คือการเรียกร้องระยะยาว”

ร่วมลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้ที่เพจ Beach for Life

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ