, , ,

การเดินทางปีที่ 5 ของมหา’ลัยไทบ้าน : ความฝันที่อยากเห็น ‘การศึกษาไร้(ชาย)ขอบ’ – คุยกับ ‘สัญญา มัครินทร์

บางคนอาจบอกว่ามหาวิทยาลัย โรงเรียน ห้องเรียน หรือสถานที่ซึ่งให้การศึกษาจะต้องมีรั้วกำแพงชัดเจน มีหลักสูตรวิชาการเข้มข้นครบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และมีใบรับรองความยอดเยี่ยมทางวิชาการเสมอ แต่ระหว่างทางเชื่อมของ สามภู ซึ่งประกอบไปด้วยสีชมพู ภูผาม่าน และภูกระดึง กลับมีมหาลัยที่สร้างจากทางดิน หินปูน และเสียงของผู้คนในชุมชนอยู่แห่งหนึ่ง ที่นี่มีห้องเรียนคือท้องฟ้ากว้างใหญ่ไร้กำแพง มีพื้นที่รอบตัวรอบตนเป็นนิเวศของการเรียนรู้ มีหลักสูตรที่งอกเงยออกมาจากรากของชุมชน และมีหัวใจคือการเรียนรู้ที่เป็นไท

เราเรียกมหาลัยนี้ในชื่อว่า มหา’ลัยไทบ้าน พื้นที่การเรียนรู้ที่ครู นักเรียน เด็กและเยาวชน คนในชุมชน นักวิชาการ และผู้คนหลากหน้าหลายตา ต่างก็มายืนอยู่ในวงสนทนาเดียวกัน ร่วมออกแบบเส้นทางการศึกษาและเรียนรู้ไปพร้อมกัน 

“มหา’ลัยไทบ้าน เริ่มต้นจาก ‘ก่อการครู’ เดิมทีเราเป็น ‘ก่อการครู 3 ภูพลัส’  โดยเราพยายามมองความสัมพันธ์ของพื้นที่ที่ใกล้เคียงกันอย่างพื้นที่อำเภอสีชมพู ภูผาม่าน และภูกระดึงมาเชื่อมโยงกัน แล้วก็ออกแบบประสบการณ์ให้ครูในพื้นที่ได้มาพบปะมาแลกเปลี่ยนไอเดียเกี่ยวกับการเรียนรู้” 

ครูสอยอ—สัญญา มัครินทร์ อดีตข้าราชการครูที่เรามักจะได้ยินเรื่องราวของเขาจากประโยคที่ว่า “ลาออกจากครู มาเป็นนักเรียน” คือหัวเรือใหญ่ผู้ก่อร่างและริเริ่มพื้นที่การเรียนรู้แห่งนี้ เขาเริ่มพาเราเข้าสู่บทสนทนาด้วยการย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น จากก่อการครู 3 ภูพลัส ขยับและขยายเป็นมหา’ลัยไทบ้านที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ชุมชน ผู้คน และแม้แต่โรงเรียนในระบบจนกลายเป็นการเคลื่อนไหวทางการศึกษาที่จับต้องได้และน่าจับตาไม่ใช่น้อยต่อจากนี้ 

บทสนทนานี้จะพาผู้อ่านไปร่วมเดินทางกับก้าวย่างในปีที่ 5 ของมหา’ลัยไทบ้าน พวกเขากำลังทำอะไร ขยับขยายจากวันแรกเริ่มอย่างไร สิ่งที่มหาลัยแห่งนี้ได้เรียนรู้และค้นพบหน้าตาเป็นเช่นใด เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยังผลมาจากการขับเคลื่อนนี้อย่างไร และจะไปต่อในทิศทางใด 

“การเดินทางของพวกเรามาเกินฝัน เพราะเราอยากจะทำพื้นที่โซนนี้ที่มันเป็นพื้นที่ชายแดนของจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดเลยให้คนได้รับรู้ แล้วสร้างพื้นที่ในการจัดการเรียนรู้ให้มีมิติใหม่ๆ เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งสิ่งนี้เริ่มงอกเงยออกมาให้เห็นแล้วจริงๆ” 

ขยับจากจุดเริ่มต้น 

“มหา’ลัยไทบ้าน คือ พื้นที่เรียนรู้ที่ทำเรื่องการศึกษาทางเลือก โดยใช้ชุมชนเป็นฐานในการออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้” ครูสอยอเริ่มต้นด้วยคำนิยามที่ฟังดูเรียบง่ายก่อนจะคลี่ขยายให้เราเห็นการเดินทางในภาพรวมของมหา’ลัยไทบ้าน

“เดินทางเข้าปีที่ 5 มหา’ลัยไทบ้านเติบโตมาก ด้วยตัวเราเองก็ลาออกจากข้าราชการครู แล้วได้มาทำอย่างเต็มที่ จากตอนแรกยังทำงานมิติการศึกษากับครูเป็นหลักก็เริ่มขยายขอบจากความเป็นครูในโรงเรียน มาทำงานกับหนุ่มสาวในพื้นที่ มาทำงานกับชาวบ้าน ทำงานกับคนหลากหลายกลุ่ม รวมถึงทำงานกับเด็กนอกระบบ”   

การเดินทางมา 5 ปีทำให้ “มิติการจัดการศึกษา” ของมหา’ลัยไทบ้านเปลี่ยนภาพไปจากเดิม จากที่เคยจัดให้เป็นพื้นที่ให้ครูในระบบได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ตอนนี้มหา’ลัยไทบ้านกลายเป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่มีตัวละครหลากหลายเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยสิ่งที่ทำให้มหา’ลัยไทบ้านแตกต่าง คือการไม่ตั้งตัวเองเป็นเจ้าของความรู้ แต่เป็นพื้นที่กลางที่ทุกคนมีสิทธิ์พูดและร่วมออกแบบการเรียนรู้ได้จากพื้นที่ชุมชนของตัวเอง 

กลุ่มหลักที่มหา’ลัยไทบ้านทำงานด้วยคือคนในชุมชน ทั้งคนที่ “อกหักจากระบบการศึกษา” อย่างกลุ่มครูที่ลาออก คนที่เรียนครูแต่ไม่ได้เข้าไปในระบบ นักการศึกษา วัยรุ่นเยาวชนหนุ่มสาวในพื้นที่ ผู้ประกอบการ ศิลปิน เกษตรกร ไปจนถึงเพื่อนครูในระบบ และเด็กที่ถูกเรียกว่าเด็กนอกระบบ

ที่น่าสนใจคือในสองปีให้หลังมหา’ลัยไทบ้านขยายวงออกไปถึงผู้นำท้องถิ่น ทั้ง อบต. ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย อสม. หรือแม้กระทั่งนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งครูสอยอเรียกกลุ่มนี้ว่า “หุ้นส่วนการศึกษา” เข้ามาขับเคลื่อนพื้นที่ในมิติต่างๆ ทั้งการเรียนรู้ การท่องเที่ยว การผลักดันเสียงของคนในพื้นที่เพื่อพัฒนาและปกป้องถิ่นฐานของตน 

ออกแบบการเรียนรู้ร่วมกัน

ครูสอยอยกตัวอย่างการทำงานให้เราเห็นภาพเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบการเรียนรู้จากฐานชุมชน โดยหนึ่งในจุดเด่นของมหา’ลัยไทบ้านคือการทำให้ “ภูเขาหลังบ้านกลายเป็นห้องเรียน” ในปีที่แล้ว ทีมทำงานกับศิลปะถ้ำและภาพเขียนสีโบราณ ส่วนในปีนี้ขยายเขตการเรียนรู้ไปสู่โครงการ “นิเวศเขาหินปูน เพิ่มพูนนิเวศการเรียนรู้” ที่ต่อยอดจากศิลปะสู่การเรียนรู้เรื่องพืช ธรณีวิทยา ความหลากหลายทางชีวภาพ และอาหาร

“เราชวนนักธรณี นักพฤกษศาสตร์ มาให้ความรู้ เก็บข้อมูล แล้วชวนครู 6–7 โรงเรียน เอาข้อมูลไปออกแบบให้กับเด็กของตัวเอง พาเด็กภาคสนาม เปลี่ยนภูเขาเป็นห้องเรียน”

สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ข้อมูล แต่คือ “การออกแบบร่วมกัน” ครูสอยอเล่าว่า มหา’ลัยไทบ้านไม่ได้เอาหลักสูตรสำเร็จรูปมาป้อนให้ครู แต่เป็นการชวนครูมาเป็น “นักเรียน” ก่อน คือให้ครูเข้าไปใช้ชีวิตจริง ไปเรียนรู้จริง ไปมีประสบการณ์ตรง ไปรู้สึก ไปสนุก ไปทุกข์แล้วก็ไปยากลำบากด้วยกัน

หลังจากนั้นก็ชวนเขามาถอดบทเรียนว่าเขารู้สึกสนุก อึดอัด หรือชอบอะไร หลังจากนั้นก็ชวนเขาถอดแล้วเอาคอนเซ็ปต์นักออกแบบมาออกแบบร่วมกันว่า ถ้าเรารู้สึกแบบนี้แล้วนักเรียนของเราจะรู้สึกแบบไหน

“ชวนคุณครูมาออกแบบให้มันสอดคล้องกับนักเรียนของเขา ครูบางคนเป็นครูศิลปะก็อาจออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติความชื่นชอบและเชี่ยวชาญของตน ครูบางคนเป็นครูเด็กประถม ออกแบบให้สอดคล้องกับเด็กประถม ครูบางคนเป็นครูวิทยาศาสตร์ ม.ปลาย ก็ออกแบบให้สอดคล้องกับเด็ก ม.ปลาย”

สำหรับกลุ่มเด็กนอกระบบ ครูสอยอย้ำว่า “ออกแบบให้เขาสนุกและท้าทาย” ส่วนชาวบ้านที่ทำงานกับวิถีชีวิตของพวกเขา 

นี่คือความงามของการออกแบบร่วมกันที่สามารถสร้างการเรียนรู้ที่สอดคล้องผู้คนซึ่งแตกต่างกันได้ มันไม่ใช่การถ่ายทอดความรู้แบบทางเดียว แต่คือการให้ทุกคนมีส่วนในการสร้างห้องเรียนของตัวเอง

ครูสอยอยังเล่าถึงชาวบ้านที่เคยต่อสู้เรื่องเหมืองว่า พวกเขาได้กลายเป็น “นักเล่าเรื่อง” และ “คุณครูในชุมชน” ที่มาถ่ายทอดความรู้เรื่องพืช หิน ฟอสซิล ให้กับเด็กๆ และนักท่องเที่ยว

“เขาเห็นบทบาทว่า เขาไม่ได้ต่อสู้แบบงานร้อนแต่เขามาเป็นคุณครูในชุมชน”

มหา’ลัยไทบ้าน จึงไม่ใช่แค่พื้นที่เรียนรู้ แต่เป็นนิเวศที่ทุกคนได้ประโยชน์ นักวิชาการได้เห็นงานของตนมีชีวิต ชาวบ้านได้รายได้และความภาคภูมิใจ ครูได้เห็นว่าบ้านของตนเป็นห้องเรียนได้ และเด็กๆ ได้เรียนรู้ว่าความรู้ไม่ได้มีเพียงในตำรา ที่สำคัญคือได้ค้นพบว่าการเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นที่ ‘บ้าน’ ของเราได้เช่นกัน 

การเติบโตของผู้คน

การทำงานกับคนกลุ่มต่างๆ ยังไม่ได้จบลงเพียงแค่วันที่มาพบเจอกัน และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้อยู่เพียงในรูปแบบการเรียนรู้ที่ออกแบบมาได้ แต่คือชีวิตจริงของผู้คนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อกันไปเรื่อยๆ เหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านไปยังแห่งหนต่างๆ แนวคิดที่มหา’ลัยไทบ้านพยายามผลักดันก็ไหลผ่านไปยังผู้คนอื่นๆ ได้กว้างขึ้น จากผู้คนที่หมุนเวียนเข้ามาและออกไปทำงานในพื้นที่ของตัวเอง

เด็กนอกระบบ ได้รับโอกาสผ่านโมเดล “โรงเรียนมือถือ” ที่ทำงานร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) 

ครูสอยอเล่าด้วยรอยยิ้มถึงคนกลุ่มนี้ว่า “หนึ่ง เขารู้สึกว่าเขามีทางเลือกในการไปต่ออาชีพ สอง เขารู้สึกเห็นบทบาทตัวเอง จากไม่ได้เรียนหนังสือ มาที่นี่เขาได้เรียนรู้สิ่งที่อยากเรียนและเขาเข้าถึงได้ จนเขาได้วุฒิ เขายังรู้สึกว่าเขาเป็นทีมงานในการพาคนไปเที่ยว สื่อสารเรื่องบ้านตัวเอง เขามีความมั่นใจมากขึ้น เวลาแนะนำตัวเขาก็จะบอกว่าเขาคือนักเรียนของมหาวิทยาลัยไทบ้านด้วยความภูมิใจ แต่ก่อนนี้เขาเป็นเด็กที่ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าคุยกับคน”

“สิ่งนี้สะท้อนว่า ศักดิ์ศรีเขากลับคืนมา ความมั่นใจเขากลับคืนมา”

ด้าน ครูในโรงเรียน ที่มหา’ลัยไทบ้านทำงานด้วย “จากเดิมที่โรงเรียนเน้นพานักเรียนไปทัศนศึกษาที่อื่น ตอนนี้หลายโรงเรียนรู้สึกว่า บ้านฉันเป็นห้องเรียนได้ ต้นไม้ ภูเขา ป่าเป็นห้องเรียนได้ เขาก็เริ่มรู้สึกภาคภูมิใจในการเล่าเรื่องบ้านตัวเอง” บางโรงเรียนถึงขั้นจัดตั้ง “ศูนย์ประวัติศาสตร์ชุมชน” เพื่อเก็บข้อมูลท้องถิ่นให้นักเรียนรุ่นต่อไป ซึ่งสะท้อนว่าเกิดการมองเห็นโอกาสในพื้นที่ของตนและบ้านของตนมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่มุมมองต่อการเรียนรู้ที่กว้างขึ้นได้ยิ่งกว่าเดิม 

ชาวบ้าน ที่เคยต่อสู้เรื่องเหมือง ตอนนี้กลายเป็นนักเล่าเรื่องและครูในชุมชน พวกเขาได้มีรายได้จากการเป็นไกด์ท้องถิ่น โฮมสเตย์ในชุมชนขยายตัวจาก 12 หลังเป็น 26 หลัง ผู้คนสามารถสร้างรายได้โดยไม่ต้องละทิ้งบ้านเกิด “จากคุณค่าของบ้าน กลายเป็นสามารถสร้างมูลค่าได้ด้วย พื้นที่ของเรากลายเป็นโปรแกรมท่องเที่ยว เป็นพื้นที่เรียนรู้ให้คนได้มาหยิบจับใช้สอย และกำลังจะเปลี่ยนชุมชนให้กลายเป็นห้องเรียนของการสร้างโอกาส-สร้างรายได้ ทำให้คนในพื้นที่เห็นว่าบ้านเรามีโอกาสในการไม่ต้องไปหารายได้ในเมืองใหญ่เพียงอย่างเดียว”

นักวิชาการ นักประวัติศาตร์ นักโบราณคดี รวมถึงผู้คนหลากหลายอาชีพที่เข้ามาร่วมเดินทางด้วยกันก็ได้ประโยชน์ในอีกมิติหนึ่ง “คนกลุ่มนี้ปกติเขาจะทำงานด้วยวิธีการสืบค้นข้อมูล เก็บข้อมูล แล้วก็เอาไปทำงานวิจัย แต่พอเขาเห็นว่าเราสนใจเรื่องนี้จริง แล้วเราพยายามจัดระบบให้คนเข้าไปเรียนรู้ ให้คนเข้าไปเที่ยว เขาก็สนุกไปกับพวกเราด้วย เพราะเขารู้สึกว่าภาพเขียนสีหรือว่าแหล่งโบราณคดีมีชีวิตชีวาขึ้นมากกว่าการเป็นเพียงเรื่องวิชาการ”

  ครูสอยออธิบายต่อไปอีกว่าการที่ มหา’ลัยไทบ้าน เชื่อมผู้คนหลากหลายได้ เหตุผลหนึ่งก็เพราะการทำสิ่งนี้ตั้งอยู่บนความรู้สึกว่า “นี่คือบ้านเรา” และทีมก็ใช้ทุกเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาคนและปกป้องพื้นที่ ไม่จำกัดว่าใครต้องเป็นครู คนที่เข้ามามีบทบาทได้ทั้งนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักสิทธิมนุษยชน นักกฎหมาย หรือนักอนุรักษ์ คนทั่วไปที่สนใจ ‘ทุกคน’ ถูกเชื่อมเข้ามาเป็น ‘ตัวละคร’ ในการสร้างนิเวศการเรียนรู้ร่วมกันได้ทั้งหมดอย่างเสมอหน้ากัน 

อีกด้านหนึ่ง การขับเคลื่อนนี้เร่งด่วน เพราะพื้นที่เองก็กำลังถูกคุกคามจากเหมือง ครูสอยอย้ำว่า “มันคือการเอาตัวรอด” จึงต้องใช้ทุกเครื่องมือในการออกแบบการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือด้านการศึกษา เศรษฐกิจ หรือการท่องเที่ยว เพื่อพัฒนาและปกป้องชุมชนไปพร้อมกัน  

‘การศึกษา’ หัวใจของการขับเคลื่อน 

เมื่อพูดถึงเครื่องมือในการขับเคลื่อนชุมชน มหา’ลัยไทบ้าน ใช้เครื่องมือหลากหลาย ทั้งการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ที่เข้าถึงผู้คนได้รวดเร็วและเป็นมิตร หรือการเคลื่อนไหวเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแบบ ‘ม็อบ’ ที่ดูเผ็ดร้อน

แต่เมื่อถามว่า เครื่องมือไหนคือ ‘หัวใจ’ ที่สำคัญที่สุด ครูสอยอตอบแบบไม่ลังเลเลยว่า “คือ เครื่องมือการศึกษา แม้มันจะช้า แต่มันมั่นคง เพราะเป็นการทำงานเชิงความคิด เป็นการไปตั้งระบบคิดของผู้เรียน ให้เขาตั้งคำถามและไม่นิ่งดูดายกับปัญหา” 

ครูสอยอขยายความต่อ เขาพิสูจน์มาตลอดชีวิตที่ผ่านมาว่า การศึกษามีพลัง ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาเยาว์วัย อาจารย์พาไปเรียนรู้นอกห้องเรียน และทิ้งแนวคิดไว้ในตัวเขาจนโตขึ้นมา “พอวิธีคิดและการตั้งคำถามติดตัวผมมาตั้งแต่ตอนนั้น ทำให้ผมรู้สึกว่า การศึกษาคือเครื่องมือที่ทำงานกับระบบคิดให้กับผู้เรียนได้จริงๆ “

เมื่อมาเป็นครูในระบบกว่า 15 ปี ครูสอยอก็ลองใช้วิธีเดียวกันนั้นกับนักเรียน และพบว่าเกิดผลลัพธ์ที่ดี เมื่อลาออกจากครูย้ายกลับมาทำงานกับชุมชน เขาก็ลองประยุกต์เครื่องมือการศึกษามาใช้ออกแบบการเรียนรู้ให้คนได้รู้จักชุมชนของตัวเองมากขึ้น “ผมพบว่าเครื่องมือนี้ทำงานกับชาวบ้าน มันทำงานกับเพื่อนผู้ประกอบการ มันทำให้เพื่อนเราตื่นรู้ มันทำให้เพื่อนเรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนได้จริงๆ”

ในห้วงเวลาที่เราหวาดกลัวปัญหาที่ปะทะเข้ามาในชุมชนหรือบ้านของเรา “ผมว่า ‘การศึกษา’ จะทำให้ความกลัวของเราลดน้อยลง และเกิดความเชื่อมั่นในพื้นที่ชุมชนของเรามากขึ้น เพราะลึกๆ แล้วเราศึกษาเพื่อจะรู้ ว่าเราเกี่ยวข้องอย่างไรกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถ้าเราไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็ชวนคนที่รู้มาแลกเปลี่ยน นักกฎหมาย นักสิทธิมนุษยชน นักอนุรักษ์ และคนหลากหลายเพื่อที่จะเกิดความรู้ สร้างความรู้ มองหาความเป็นไปได้จากความรู้

“การศึกษาช่วยให้เรารู้ว่าเราจะต้องรู้อะไรเพิ่มเติม หรือเราควรที่จะทำอย่างไรให้มั่นใจในสิ่งที่เรากำลังเผชิญได้อยู่ แล้วความไม่กลัวนี่เองที่จะเสริมแรงให้เรามองหาทางออกกับปัญหาต่างๆ ได้มากขึ้น”

วันนี้ มหา’ลัยไทบ้าน มีเส้นเลือดใหญ่ของการทำงานคือเครื่องมือทางการศึกษาและเสริมด้วยเครื่องมือด้านอื่นๆ อย่างรอบด้าน “ผมกล้าพูดได้เต็มปากและมั่นใจมากขึ้นว่า มหา’ลัยไทบ้านคือพื้นที่กลางในการเรียนรู้อย่างอิสระของชุมชนแห่งนี้ สิ่งที่เราทำเป็นทั้งเรื่องการศึกษา เศรษฐกิจ ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม ถ้าคนในพื้นที่ทุกข์ร้อนอะไรมา เราเองก็ไม่มั่นใจว่าเราจะพาเขาไปได้ไหม แต่อย่างน้อยเราจะเป็นพื้นที่ในการเชื่อมคนให้มาเจอกันให้มาคุยกัน แล้วก็มองหาทางออกร่วมกันต่อไปได้

เป็นตัวละครหนึ่งในการเชื่อม เป็นตัวกลาง เป็นตัวริเริ่ม แล้วก็เป็นตัวส่งต่อต่อยอด” 

เดินหน้าสู่ ‘การศึกษาไร้(ชาย)ขอบ’

แรงผลักดันที่ทำให้ มหา’ลัยไทบ้าน เดินหน้าต่อ ไม่ได้มีเพียงความสนุก ความเข้มแข็งของชุมชน หรือการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆ ปรากฎเท่านั้น แต่คือความฝันที่ขยับไปอีกขั้น  

“เราอยากผลักดันพื้นที่ตรงนี้ให้ไปไกลกว่าที่เราเคยฝันไว้ จริงๆ ตอนนี้มันเกินฝันแรกมาแล้วแหละ คือฝันว่าจะทำให้ชุมชนเป็นที่รู้จัก แล้วเป็นชุมชนเปิด เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ แต่มากกว่านั้นคือ ผมฝันอยากให้พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ถูกถอนออกจากแผนแม่บทของรัฐ กล่าวคือพื้นที่ตรงนี้ไม่ต้องเป็นพื้นที่เหมืองแล้ว”

นี่ไม่ใช่เพียงการรักษาป่า แต่คือการทำให้การเรียนรู้นอกห้องเรียนถูกนับอย่างเป็นระบบ ครูสอยอพูดถึงการผลักดันให้พื้นที่นี้กลายเป็น “ป่านันทนาการ” (Recreational Forest) คือ ‘ป่าที่กำหนดให้เป็นแหล่งเรียนรู้และพักผ่อนหย่อนใจ มีกิจกรรมที่เหมาะสมตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ ตลอดจนเปิดโอกาสให้ประชาชนในชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ’ 

ความฝันนี้ดูเหมือนกำลังขยับไปข้างหน้าเรื่อยๆ เมื่อกรมป่าไม้เริ่มมองเห็นศักยภาพของพื้นที่มากกว่าการเป็นแค่ป่าอนุรักษ์ การออกแบบเส้นทางศึกษาธรรมชาติ และระบบการจัดการร่วมระหว่างรัฐกับชุมชนเป็นหมุดหมายที่ มหา’ลัยไทบ้าน กำลังผลักดันให้เกิดขึ้น ซึ่งจะยังผลให้เกิดการเปลี่ยนบทบาทของชาวบ้านจากผู้ถูกปกป้อง มาเป็นผู้ลุกขึ้นจัดการป่าของตัวเองได้    

ปลายทางอีกประการที่สำคัญของ มหา’ลัยไทบ้าน คือการขยับและเขย่าให้สังคมเห็นคุณค่าของ “การเรียนรู้นอกห้องเรียน” ในระดับนโยบายมากขึ้น ในจุดที่สิ่งเหล่านี้จะถูกนับเป็นหน่วยกิตผ่านเครดิตแบงก์ หรือเชื่อมโยงกับการศึกษากระแสหลักได้จริง 

“เพื่อทำให้การเรียนรู้กลายเป็นระบบเดียวกัน ไม่แยกในระบบหรือนอกระบบ  แต่อยู่บนฐานคิดเดียวกันที่กระจายอำนาจ ลดความเหลื่อมล้ำ  และทำให้การศึกษาเป็นเรื่องของทุกคน”

….การศึกษาที่ไม่มีชายขอบ  

เพราะไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของความรู้แต่เพียงผู้เดียว…. 

———

ก่อนบทสนทนาจะจบลง ครูสอยอเอ่ยปากเอิ้นหาเพื่อนพ้องน้องพี่ พี่น้องป้องปาย และผู้ที่สนใจทุกคนมาร่วมแลกเปลี่ยนพูดคุยกันในงาน “ซุมหัวหมอ พ่อกันแล้ว” มหา’ลัยไทบ้านปี 5 ในวันที่ 7–9 พฤศจิกายน 2568 ณ ไร่ภัทราวรินทร์ และโรงเรียนบ้านวังขอนแดงหนองหญ้าปล้อง อำเภอสีชมพู จ.ขอนแก่น งานรวมตัวคนหัวดื้อที่มาพบกันเพื่อเรียนรู้–เล่น–ทำ–ทบทวน 

ตลอด 3 วัน เต็มไปด้วยไฮไลต์ทั้งเวทีทอล์กสร้างแรงบันดาลใจ เวิร์กชอปลงมือจริง กิจกรรมท่องเที่ยว–เรียนรู้ตามรอยชุมชน ค่ำคืนแห่งเสรีกับหนังกางแปง ดนตรี ตลาดคราฟท์ และการล้อมวงถอดบทเรียนร่วมกันให้ทุกคนได้เป็นทั้งครูและนักเรียนไปพร้อมกัน 

“การมาของทุกคนจะมีความหมายกับคนในพื้นที่ ผมคิดว่าทุกคนน่าจะได้แลกเปลี่ยนไอเดียและแรงบันดาลใจกัน ไม่มาก ก็มากๆ”  

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ