เรากำลังเผชิญหน้ากับภาวะโลกรวน
เรากำลังอยู่ในภาวะโลกเดือด
สถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) สร้างผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม คือ การเกิดภัยพิบัติบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยได้รับผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน สถานการณ์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ภัยพิบัติโดยเฉพาะอุทกภัยหรือน้ำท่วมฉับพลันเกิดขึ้นทุกภูมิภาคของประเทศ และมีลักษณะที่ ‘รุนแรงเป็นประวัติกาล’ ‘รุนแรงในรอบหลายสิบปี’ หรือ ‘รุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’
เหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตอกย้ำให้เห็นว่า สถานการณ์ของโลก
ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่แบบเดิม เรากำลังเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน ซึ่งสร้างผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน เช่น การก่อตัวของไซโคลนที่ผิดปกติในบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร การเกิดฝนตกแช่เนื่องจากการเคลื่อนตัวที่ผิดปกติของหย่อมอากาศ ความรุนแรงของลานีญาซึ่งทำให้ฝนตกหนักมากขึ้น เป็นต้น ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ความรู้เดิมที่มีอยู่ รวมถึงกลไกและนโยบายที่มีอยู่ของรัฐ ไม่เพียงพอกับการรับมือหรือแก้ปัญหา
กับปรากฏการณ์ใหม่ ๆ
เช่นเดียวกัน ในมิติของการศึกษา ทำอย่างไรที่องค์ความรู้และการเรียนรู้ของผู้เรียนจะไปได้ไกลกว่าแค่
หลักสูตรสถานศึกษา แต่ต้องไปถึงหลักสูตรของสังคมที่กว้างขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ในอนาคต นี่คือโจทย์สำคัญที่ถูกสะท้อนออกมาจากวงเสวนา “ก่อการครูภาคใต้ ตอน รถไฟการเรียนรู้ กอบกู้ใจครูและใจเด็ก” ณ โรงเรียนแหลมทองอุปถัมภ์ จ.ปัตตานี กิจกรรมที่ชวนให้ครู ชุมชน และนักการศึกษา มาร่วมสะท้อนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งพวกเขาล้วนเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง
ประเด็นต่อไปนี้ คือ สาระสำคัญที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนของผู้เข้าร่วมภายใต้โจทย์สำคัญ คือ ในบริบทของครู ผู้บริหาร นักศึกษา หรือชุมชน เราจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้เราต่างพร้อมเผชิญกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในอนาคต
การเตรียมผู้เรียนให้พร้อมรับมือกับภัยพิบัติผ่านระบบการศึกษา
หนึ่งในโมเดลการเรียนรู้ที่ถูกกล่าวถึงบ่อย คือ โมเดลการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้บรรจุให้สิ่งนี้ถูกสอนในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง ปลูกฝังให้นักเรียนตระหนักถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดตลอดเวลา เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นอยู่ในบริเวณวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
แม้ว่าที่ตั้งของประเทศไทยไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกับญี่ปุ่น แต่เมื่อพิจารณาจากสถิติสถานการณ์ภัยพิบัติย้อนหลังพบว่า พื้นที่ในภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคใต้ของไทย ต้องเผชิญกับน้ำท่วมฉับพลันอย่างต่อเนื่องแทบทุกปี โดยจำนวนความถี่และขนาดของความรุนแรงมีความแตกต่างกันไปตามบริบทของพื้นที่ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่รุนแรงแปรปรวน ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ยากต่อการทำนายล่วงหน้าว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจะมีความรุนแรงระดับใด ดังนั้น การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ต้องเป็นสิ่งที่ถูกสอนและ เตรียมพร้อมตั้งแต่ในระบบการศึกษา เพราะในอนาคตภัยพิบัติจากภาวะโลกรวนจะเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเผชิญ
การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือภัยพิบัติในที่นี้ ผู้เข้าร่วมได้สะท้อนอย่างชัดเจนว่าควรเป็นการเตรียมพร้อมที่ผู้เรียน ‘ต้องเข้าใจบริบทของพื้นที่ตนเอง’ เช่น การสร้างความเข้าใจพื้นที่ฐานเกี่ยวกับพื้นที่ของตนเองว่าเป็นพื้นที่ลักษณะใด และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัติลักษณะใดบ้าง เมื่อเกิดภัยพิบัติจุดใดของชุมชนคือพื้นที่ปลอดภัยในการอพยพ นำมาสู่ข้อเสนอของการจัดทำและเรียนรู้เกี่ยวกับ ‘แผนที่เดินดิน’ ของชุมชนหรือของอำเภอ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่ร่วมกันของคนในชุมชน รวมถึงสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่ให้แก่เจ้าหน้าที่อาสาสมัครจากภายนอกในกรณีที่ต้องให้ความช่วยเหลือ
เมื่อเกิดภัยพิบัติ
ในเชิงปฏิบัติ ผู้เรียนต้องได้รับการปลูกฝังและการฝึกฝนให้มีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ในระดับครัวเรือน โดยเฉพาะการวางแผนและทำความเข้าใจถึงแนวปฏิบัติร่วมกันในครอบครัวเมื่อต้องเผชิญภัยพิบัติฉุกเฉิน เช่น แผนการอพยพหรือจุดนัดหมายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน การแบ่งหน้าที่รับผิดชอบภายในครอบครัว การจัดเตรียมอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับ การเอาชีวิตรอดของครอบครัว รวมถึงมีการทำความเข้าใจ ซักซ้อม หรือปรับแผนของครอบครัวอย่างต่อเนื่องประจำทุกปี
การสร้างแผนการเรียนรู้นับตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงระดับชุมชน เป็นการปลูกฝังให้ผู้เรียนเห็นว่า การเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติเป็นเรื่องใกล้ตัวและต้องทำตั้งแต่ระดับครัวเรือน ชุมชน และระดับนโยบายของรัฐ
การสื่อสารในภาวะวิกฤติเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน
ปัญหาเรื่องการสื่อสาร เป็นปัญหาสำคัญที่ถูกสะท้อนจากภัยพิบัติครั้งนี้ โดยเฉพาะการสื่อสารเกี่ยวกับการเตือนภัยของหน่วยงานรัฐที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนประเมินถึงแนวโน้มความรุนแรงของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ทำให้ประชาชนมักใช้ประสบการณ์ที่เคยเจอมาใช้เป็นข้อมูลประเมินสถานการณ์ นำไปสู่
ความผิดพลาดในการเตรียมพร้อมรับมือและการอพยพออกนอกพื้นที่ภัยพิบัติ เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้เข้าร่วมเสนอให้หน่วยงานภาครัฐใช้วิธีการสื่อสารที่เน้นสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะการใช้คำที่เข้าใจง่ายแทนการใช้คำเชิงเทคนิคต่าง ๆ
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมได้เสนอแนวทางการสื่อสารที่เข้าถึงและเข้าใจในมิติของชุมชนมากขึ้น เช่น
การสื่อสารเรื่องภัยพิบัติผ่านกลไกทางวัฒนธรรมของพื้นที่ โดยการใช้มัสยิดเป็นพื้นที่สำคัญในการกระจายข่าวสารให้แก่ชุมชน เนื่องจากบริบทของพื้นที่ชายแดนใต้เป็นพื้นที่ที่มีมัสยิดอยู่ในทุกชุมชน และจะมีตัวแทนสมาชิกในครอบครัวปฏิบัติศาสนกิจที่มัสยิดใกล้บ้านอยู่เป็นประจำ ดังนั้น การกระจายข่าวสารผ่านทางมัสยิดเป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้การแจ้งเตือนและแนวทางการปฏิบัติของชุมชนสามารถกระจายได้ง่ายขึ้น รวมถึงการใช้ ‘ภาษา’ ในการสื่อสารให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ใช้ภาษามลายูในการสื่อสารเป็นหลัก จะช่วยให้คนในชุมชนรู้สึกเข้าถึงและเข้าใจในสารที่รัฐต้องการแจ้งเตือน อีกทั้งเป็นการสร้างความไว้วางใจกันระหว่างคนในชุมชนและเจ้าหน้าที่รัฐมากยิ่งขึ้น
กลไกชุมชนที่เข้มแข็ง คือ ทางรอด
จากสถานการณ์ภัยพิบัติครั้งนี้ พบว่า ความร่วมมือของชุมชนเป็นกลไกสำคัญในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย เช่น กรณีของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น จ.สงขลา ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือในการส่งเสบียงให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ มีการเปิดครัวกลางเพื่อกระจายความช่วยเหลือ นี่คือสิ่งสะท้อนว่า เมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติ ชุมชนคือกลไกระดับใกล้ขั้นแรกที่สามารถดูแลกันได้
ข้อเสนอหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การเตรียมกำลังสำคัญของชุมชนที่ไม่ควรมองข้าม นั่นคือ ‘เยาวชน’ ดังนั้น การเตรียมความพร้อมด้านองค์ความรู้ทั้งในเชิงระบบและการจัดการกับคนในชุมชน ควรเป็นสิ่งที่ต้องให้การสนับสนุนกับพวกเขา ทั้งในเชิงการฝึกอบรมและงบประมาณฉุกเฉินสำหรับภัยพิบัติ ซึ่งจะสร้างประโยชน์มากกว่าเพียงการรอความช่วยเหลือจากภายนอกเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การสร้างกลไกความร่วมมือของชุมชนควรเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการเพื่อเตรียมพร้อม ไม่ใช่ถูกสร้างเมื่อต้องเผชิญภัยเท่านั้น
ตัวอย่างกลไกชุมชนที่เข้มแข็งถูกสะท้อนผ่าน ‘กรณีบ้านน้ำเค็ม’ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ซึ่งเผชิญกับภัยสึนามิ 2547 บทเรียนสำคัญที่ถูกสะท้อนออกมามาจากคนในชุมชน คือ ความสูญเสียหรือความตายที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากภัยพิบัติอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นจาก ‘ความไม่รู้’ ซึ่งความไม่รู้นี้ หมายถึง การไม่รู้ว่าสัญญาณเตือนของธรรมชาติก่อนภัยมาเป็นอย่างไร การไม่รู้ว่าในภาวะฉุกเฉินจะต้องเอาตัวรอดหรือหนีตายไปทางไหน รวมถึงการไม่รู้ว่าอะไรคือการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับวิกฤตินั้น
จากประสบการณ์ความสูญเสียและความทุกข์ของคนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ทำให้คนในชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับมืออย่างเป็นระบบ มีการเตรียมพร้อมถึงบทบาทและความสามารถของตนเองในการจัดการหรือปฏิบัติการเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ เช่น การรู้จักและฟังเสียงสัญญาณเตือนภัย การรู้เส้นทางอพยพจากจุดต่าง ๆ การแบ่งหน้าที่ของคนในชุมชนเพื่อช่วยกันจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการมีข้อมูลระดับครัวเรือนของชุมชน เพื่อให้ทราบว่าบ้านไหนมีกลุ่มเปราะบางที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือก่อน เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ เด็ก เป็นต้น
แม้ว่าคลื่นสึนามิจะผ่านไป แต่การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือของบ้านน้ำเค็มยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง เช่น มีการฝึกซ้อมอพยพในทุกปี และมีการส่งต่อหน้าที่สำหรับปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือในระดับครัวเรือน
เพราะเราไม่อาจคาดการณ์เหตุการณ์ฉุกเฉินได้ โดยเฉพาะในภาวะโลกรวนที่มักเกิดปรากฏการณ์ใหม่ ๆ รวมถึงในความไม่พร้อมของหน่วยงานรัฐในการรับมือ ดังนั้น การทำให้ชุมชนกลับมาตระหนักถึงบทบาทและความสามารถของตนเอง การทำงานเชิงองค์ความรู้หรือข้อมูลชุมชน เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติระดับชุมชน จึงเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดขึ้นได้ท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอน
การเรียนรู้ฐานชุมชน ที่มี ‘ภัยพิบัติ’ อยู่ในนั้น
กลับมาสู่โจทย์สำคัญว่า ในบทบาทของระบบการศึกษา หรือผู้มีหน้าที่ในการสร้างการเรียนรู้ เราจะทำอะไรได้บ้าง?
การเรียนรู้ฐานชุมชนหรือการเรียนรู้เชื่อมโลกจริง เป็นแนวคิดหนึ่งที่เครือข่าย ‘ก่อการครูภาคใต้’ และเครือข่ายครูหลายกลุ่มพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น โดยมีเป้าหมาย คือ การสร้างการเรียนรู้ที่มีความเชื่อมโยงกับชีวิตจริงและบริบทชุมชนของผู้เรียน เพื่อให้การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ตัดขาดกับโลกจริงของเขา
สถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้เป็นตัวทดสอบหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า ระบบการศึกษาที่ผู้เรียนได้รับ เพียงพอที่จะทำให้เขาสามารถรับมือหรือเอาชีวิตรอดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากบริบทจริงได้อย่างไรบ้าง หรือหากไม่เพียงพอ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการศึกษาจะช่วยเติมเต็มประเด็นเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้การศึกษาเป็นทางรอดหนึ่งที่ผู้เรียนสามารถนำมาใช้เพื่อเอาชีวิตรอดกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนในอนาคต
และแน่นอนว่า วงเสวนาครั้งนี้ได้สะท้อนโจทย์สำคัญและแนวทางที่สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในมิติ ที่สำคัญคือ ชุมชนคือทางรอดของการเผชิญภัยพิบัติ นั่นคือ การทำให้ชุมชนเป็นฐานในการเรียนรู้ และเป็นฐานในการสร้างความร่วมมือของผู้คน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ที่จะเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในอนาคต



