บันทึกเวทีการอบรมเชิงปฏิบัติการก่อการครู โมดูล 3 ครั้งที่ 1

โครงการก่อการครู ครูบันดาลใจ จุดไฟการเรียนรู้
สรุปบันทึกเวทีการอบรมเชิงปฏิบัติการก่อการครู โมดูล 3 ครั้งที่ 1
หัวข้อ พัฒนาและออกแบบกระบวนการเรียนรู้

หลังจากโครงการก่อการครูจัดกระบวนการเรียนรู้โมดูลแรก มิติความเป็นมนุษย์ของครู และโมดูลสอง ตลาดวิชาเครื่องมือและทักษะในการจัดกระบวนการเรียนรู้ใหม่ๆ ให้กับครู เพื่อนำกลับไปเปลี่ยนแปลงห้องเรียนของตนแล้ว โมดูลสามคือการมารับฟังผลการเติบโต เรียนรู้ และการเปลี่ยนแปลงของห้องเรียนในตัวครูและนักเรียน

วันแรก

เริ่มด้วยการชมวิดีโอระลึกถึงบรรยากาศตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาของโครงการก่อการครู และให้ผู้เข้าร่วมเขียนอีมูติค่อนแทนความรู้สึกต่อการกลับมาเจอกันอีกและจับคู่แบ่งปันกัน บางคนบอกว่า ในโมดูลแรกมาด้วยน้ำตา แต่วันนี้มาด้วยรอยยิ้ม ได้มาฟังพี่ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วมีพลังจริงๆทและเหมือนได้เจอพี่น้องหลังจากแยกทางกันไปนาน ต่อด้วยการแบ่งปันเรื่องราวและรูปภาพประกอบการเปลี่ยนแปลงตัวเองใน 6 เดือนที่ผ่านมา แบบจับคู่และแบ่งกลุ่ม 4 คน ตามด้วยการจับกลุ่ม 5 คน แนะนำตัวกันในกลุ่ม เล่าเรื่องพร้อมกับให้ดูรูปคนที่จะชวนมาเป็นแนวร่วมก่อการครูและวิธีการชักชวน

ปิดท้ายช่วงเช้าด้วยการสะท้อนการทำงานของโครงการก่อการครู หนึ่ง กระบวนการหรือกิจกรรมต่างๆ สอง วิทยากร สาม การร่วมพลัง สี่ การประสานงาน การจัดการในภาพรวม มีความคิดเห็นที่น่าสนใจหลายเรื่อง เช่นตลาดวิชาสนุกมาก เรียนแล้วเพลินจนลืมว่าเรียนอะไรไป น่าจะมีการบันทึกกระบวนการที่ทำเป็นว่าอย่างไร

ช่วงบ่าย หลังจากกิจกรรมสันทนาการ อ.สิทธิชัย วิชัยดิษฐ อธิบายเรื่อง Authentic learning ว่าคือการออกแบบการเรียนรู้ที่มีความหมายกับครูและนักเรียน โดยมองหาโจทย์ในโลกความเป็นจริง เริ่มด้วยการสาธิตห้องเรียนสมมุติสองแบบที่มีคุณผู้เข้าร่วมเป็นนักเรียน สอนเรื่องการจำแนกพืช ครูคนแรกจะสอนด้วยวิธีการให้มองและอ่านข้อมูล เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากความทรงจำอย่างเดียว แต่ครูคนที่สองจะให้ทดลองจัดแผงผักของแม่ค้าในตลาด เริ่มจากใช้ประสบการณ์ของทุกคนในกลุ่มช่วยกันจัด ก่อนที่ครูจะให้ความรู้เรื่องการจัดประเภทพืชทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม แล้วลองจัดใหม่ ปิดท้ายด้วยคำถามเรื่องการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วจึงแลกเปลี่ยนเรื่องการเรียนการสอนที่มีความหมายกับครูและนักเรียน

หลายคนเห็นว่าการเรียนและการสอนที่มีความหมาย ต้องทำให้เกิดคำถามอยู่เรื่อยๆ จนนำไปสู่การหาคำตอบด้วยตัวนักเรียนเอง แล้วเกิดความรู้ใหม่ ครูจำเป็นต้องค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อมาแลกเปลี่ยนกับนักเรียน ทำให้เกิดการพัฒนาตัวเด็กและครูไปด้วย บางคนมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนในห้องเรียน เหมือนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่จะตอบคำถามโดยไม่รู้สึกว่าจะโดนครูดุหรือเพื่อนด่าว่าโง่ถ้าตอบผิด การดึงเอาประสบการณ์ของเด็กออกมา ทำให้เด็กมีความมั่นใจ กระบวนการสร้างห้องเรียนที่มีความหมายกับนักเรียน น่าจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนหรือใกล้เคียงที่สุด

อ.สิทธิชัย ช่วยสรุปมาเป็นสามข้อที่ควรใช้เป็นหลักในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อครูและนักเรียนว่า หนึ่ง เกิดจากความร่วมมือกันและฝึกทักษะบางอย่าง สอง โจทย์การเรียนการสอนมาจากประสบการณ์จริงหรือประเด็นในโลกความจริง แล้วเชื่อมโยงกับเนื้อหาที่สอน สาม ควรใช้คำถามปลายเปิด เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการตอบ ไม่จำกัดเฉพาะคนเรียนเก่ง

ต่อด้วยการยกตัวอย่างการออกแบบการเรียนการสอนแบบ Authentic learning ของโรงเรียนสาธิต ม. ธรรมศาสตร์ โดย อ.ไอยเรศ ที่หยิบยกเอาคำพูดของละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ว่า ออเจ้ามาจากไหน มาสอนเรื่องคนไทยมาจากไหน เริ่มจากให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนคุยกันว่ามีพี่น้องกี่คน เกิดที่ไหน ทำอะไรอยู่ ก่อนจะขยับไปถามถึงรุ่นพ่อ รุ่นปู่ย่าตายาย ทำให้เห็นความหลากหลายของจังหวัดที่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย รวมถึงอาชีพ มาทำเป็นผังเครือข่าย จะเห็นความหลากหลายและการอพยพ แล้วเชื่อมโยงไปจนถึงทฤษฎีว่าด้วยชาติไทยหรือคนไทยมาจากไหน นำไปสู่การอธิบายทฤษฎีต่างๆ และอภิปรายกันด้วยเหตุผล หลังคาบ มีการประเมินของอาจารย์ผู้สอน ปรากฏว่านักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้มากกว่าการท่องจำและถกเถียงเหตุผลแนวคิดของการโยกย้ายอพยพผู้คนของชุมชน ของสังคมได้

อีกตัวอย่างหนึ่งของ Authentic learning คือการพานักศึกษาปีสองคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ม. ธรรมศาสตร์ ไปภาคสนามเพื่อเรียนรู้ชุมชน ไปทานข้าวกับชาวบ้าน เดินในหมู่บ้าน และร่วมกิจกรรมชุมชนนาน 7 วัน โดยใช้เครื่องมือ 7 ชิ้นในเรียนรู้ชุมชน แล้วทำเป็นโครงการขนาดเล็กให้กับชุมชน ซึ่งการปฏิบัติจริง สัมผัสของจริง จะทำให้เกิดศรัทธากับผู้เรียนและผู้สอนได้

หลังจากเรียนรู้เรื่อง Authentic learning ผ่านประสบการณ์ตรงและตัวอย่างการเรียนรู้ไปแล้ว อ.สิทธิชัย ได้แนะนำเครื่องมือการออกแบบการเรียนรู้ให้ผู้เข้าร่วมเพิ่มเติม ก่อนจะให้กลุ่ม 5 คนไปลงพื้นที่ตลาดศาลายา เพื่อค้นหาโจทย์ ก่อนจะกลับมาช่วยกันวางแผนการเรียนรู้ในช่วงค่ำ เพื่อเตรียมการสอนในวันถัดไป

วันที่สอง

เป็นการแบ่งกลุ่ม 5 คน สาธิตการสอนที่ออกแบบจากโจทย์ในชีวิตจริงเมื่อวาน กลุ่มละ 30 นาที สะท้อนกันและกัน 15 นาทีว่า การเรียนการสอนเป็นอย่างไรในสายตาของผู้สอนกับผู้เรียน แบ่งเป็นสามห้อง ห้องละ 5 กลุ่ม

ก่อนที่ช่วงค่ำ ทีมวิทยากรจะมาเติมเรื่องการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือการทำให้เกิดการเรียนรู้ในห้องเรียนมากกว่าการสอน เน้นการสร้างให้เกิดมโนทัศน์มากกว่าการยัดเนื้อหาให้กับผู้เรียน สร้างความสงสัยใคร่รู้ให้กับผู้เรียนได้ เห็นการทำงานร่วมกันในทีม และเกิดการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม โดยยกตัวอย่างแนวคิดการเรียนรู้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง หรือ Transformative learning curve ที่แบ่งออกเป็น 5 ขั้น ขั้นแรกคือการอินโทร เป็นกระบวนการเตรียมความพร้อมและล้างภาชนะก่อนจะใส่อะไรเข้าไป สิ่งสำคัญคือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้ร่วมกันให้กับผู้เรียน ขั้นที่สองคือการกระตุ้น ทำให้ผู้เกิดความรู้สึกว่าทำไมจึงต้องเรียนเรื่องนี้ ขยับไปสู่ขั้นที่สามคือ Experiential learning การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ จากตอนเริ่มต้นที่นักเรียนยังไม่ค่อยรู้อะไร ค่อยๆ มีส่วนร่วม จนพลังงานในห้องค่อยๆ เพิ่มไปจนถึงสูงที่สุดที่วางไว้ คือ นักเรียนเกิดมโนทัศน์บางอย่างที่ครูต้องการจะพาไปดู ตามด้วยขั้นที่สี่คือการสรุปผลที่เกิดจากการสะท้อน เริ่มจากการสะท้อนในตัวเอง สะท้อนเป็นกลุ่มย่อย ก่อนจะเปิดให้สะท้อนในกลุ่มใหญ่ ว่ามีการเรียนรู้อะไรร่วมกัน และขั้นสุดท้ายคือการนำความรู้ใหม่ไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์เก่า สร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ และผู้เรียนจะเอาไปใช้ประโยชน์อย่างไร

อ.ธนัญธร เปรมใจชื่น ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ครูจะมีคุณภาพใหม่ที่แท้จริงได้ ไม่ใช่แค่ทำตามเครื่องมือใหม่ๆ ที่ได้เรียนรู้ แต่อาจจะต้องทดลองและเรียนรู้กับตัวเองว่า เครื่องมือต่างๆ ใช้ได้จริงหรือเปล่า สิ่งที่เป็นหัวใจหลักๆ ของการเติบโต คือ Being หรือความเป็นตัวตนของครู การตระหนักถึงความเข้าอกเข้าใจ การเห็นใจกัน และครูผิดพลาดได้ เพราะเวลาที่ครูไม่สมบูรณ์แบบที่สุด นักเรียนจะฉลาดและเข้มแข็งกว่าเดิม เพราะมีพื้นที่ให้พวกเขาแสดงออกได้

ส่วน นพ. พนม เกตุมาน กล่าวถึงเรื่องการประเมินผลว่า เป็นหนึ่งในสามของการเรียนการสอน เพื่อจะตอบคำถามว่าผลสำเร็จเป็นอย่างไร ปกติเมื่อนึกถึงการประเมิน ส่วนใหญ่นึกถึงการสอบ คือวัด Head แต่วัตถุประสงค์ของการเรียนแบบ Experiential learning จะต้องวัด Hand กับ Heart ด้วย การสะท้อนความรู้สึก สามารถสะท้อน Head, Heart, Hand ได้ ว่าตรงกับวัตถุประสงค์ที่ออกแบบไว้หรือไม่ และการให้นักเรียนประเมินกันเอง สามารถวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ได้เช่นกัน อีกเรื่องหนึ่งคือ follow up การติดตามพฤติกรรมสองระยะ ระหว่างเรียนกับหลังจากเรียน ยกตัวอย่างนักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง ปีแรกไปคอร์สปฏิบัติธรรม แล้วเขียนสะท้อนว่ารู้สึกดีมาก ทำให้เขาพัฒนาจิตใจ ปีที่สอง ไปบวชตอนปิดเทอมภาคฤดูร้อน ปีที่สาม มาเป็นประธานชมรมพุทธธรรม ถือว่าเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแล้ว เป็นสุดยอดการเรียนรู้

ก่อนจะปิดวงในช่วงค่ำ เป็นการ reflection ในวงย่อยสามคนที่มาจากแต่ละห้อง ว่าแต่ละคนได้เรียนรู้อะไรจากการออกแบบ Authentic learning และทดลองกระบวนการ

วันที่สาม

จับกลุ่มสามคนที่มาจากคนละภูมิภาคกัน ทบทวนหนึ่งสิ่งในโลกที่แทนความรู้สึกของตัวเอง แล้วแบ่งปันให้กันฟัง ก่อนจะเป็นกระบวนการต่อยอดจากสองวันที่ผ่านมา ทบทวนตัวเองสามข้อ คือ หนึ่ง เราอยากจะเปลี่ยนแปลงการสอนของเราไปเป็นแบบไหนและเพื่ออะไร สอง เราเป็นใคร ให้คุณค่ากับอะไร ต้องเรียนรู้อะไรเพื่อจะสร้างการเปลี่ยนแปลงตามที่เราคาดหวัง สาม เราต้องการจะทำอะไรเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในชั้นเรียนของเรา แล้วแบ่งปันกันความรู้สึกหลังจากได้เขียนออกมา ว่าอะไรคือประโยคสำคัญจากการเขียน ก่อนจะแบ่งปันในวงใหญ่

ก่อนที่ อ.สิทธิชัย จะพูดถึงความสำคัญของการเก็บหลักฐานการเรียนรู้ เรียกว่าการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน เมื่อก่อนการทำวิจัยชั้นเรียนจะดูแค่ว่าวิธีสอนเกิดผลสำเร็จในห้องเรียนไหม แต่การวิจัยชั้นเรียนที่กล่าวถึงในโครงการเป็นไปเพื่อการพัฒนาตัวครูให้เข้าใกล้คุณค่าที่ยึดถือ เป็นการวิจัยเพื่อเรียนรู้และอธิบายสิ่งที่ครูกำลังทำในห้องเรียน กับช่วยตรวจสอบคุณค่าที่ครูยึดถืออยู่

สำหรับก้าวต่อของโครงการก่อการครู อ.พฤหัส พหลกุลบุตร ขอให้คุณครูจัดกลุ่มย่อยกันเองตามความสนใจ พูดคุยเรื่อง หนึ่ง เราอยากเห็นก่อการครูในปีสองออกมาเป็นอย่างไร สอง เราจะขยายผลของก่อการครูในพื้นที่ของเราอย่างไรบ้าง มีความคิดที่น่าสนใจมากมาย ยกตัวอย่างเช่น อยากจะให้ครูรุ่นหนึ่งกับรุ่นสองได้ทำงานร่วมกัน จะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และมีเวทีให้ relearning ความรู้ แบ่งปันความรู้ และทบทวนความรู้ไปด้วย หรืออยากได้เวลาสอน Authentic Learning เพิ่มเป็น 50 นาที เหมือนคาบเรียนจริงๆ และส่วนกลางอาจจะถ่ายวิดีโอการสอนในห้องอื่นๆ มาให้เห็นตัวอย่าง หรือ ก่อการครูสัญจร อยากให้มีโอกาสไปทางภูมิภาค เช่น ไปทางเหนือ หรือเรื่อง Open classroom กลุ่มก่อการครูร่วมกันวางแผนแล้วไปทดลองสอนนักเรียนในสถานที่หนึ่ง โดยการสัญจรไปแต่ละภาค ให้ครูแต่ละโรงเรียนเข้ามาดู เขาจะได้เห็นเทคนิคว่าก่อการครูเป็นอย่างไร และก่อการกับผู้บริหาร จะทำให้โครงการไปได้ไกลมาก ขยายวงกว้างได้เร็ว

อ.อธิษฐาน์ คงทรัพย์ กล่าวว่าโครงการจะรวบรวมข้อเสนอต่างๆ กลับไปพัฒนาต่อ แต่มีหลายเรื่องที่สอดคล้องกับข้อเสนอของคุณครูอยู่แล้ว คือ ปีหน้าโครงการทำคอร์สก่อการครูสำหรับผู้บริหาร เพราะผู้บริหารหนึ่งคนที่เข้าใจประเด็น จะช่วยขยายผลและสนับสนุนครูในโรงเรียนได้มาก และอยากชวนแกนนำรุ่นหนึ่งที่มีกำลังและมีเวลา มาร่วมเป็นทีมกับโครงการ

อ.อนุชาติ พวงสำลี เสริมเรื่องการต่อยอดการเรียนรู้ว่า โรงเรียนสาธิตและคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ยินดีต้อนรับคุณครูที่จับกลุ่มกันมาเรียนรู้ มาสัมผัสห้องเรียน ซึมซับการออกแบบและวิธีการเรียนรู้ที่โรงเรียนและคณะใช้อย่างเป็นรูปธรรม อีกเรื่องหนึ่งคือ เนื่องจากระบบการศึกษาจะไม่เปลี่ยนแปลงง่าย จึงต้องการพลังจากภายนอกเข้ามาเสริม คุณครูจะต้องคิดอ่านในการเชื่อมโยงพลังภายนอกมาช่วย ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่น ภาคธุรกิจ ภาคอื่นใดที่จะมาเรียนรู้หรือเป็นพลังเสริมให้กับเรา

อ.พฤหัส กล่าวปิดท้ายว่าการเดินทางไปข้างหน้าของก่อการครู อยากให้ทุกคนเป็นทัพหน้าพาโครงการก้าวเดินต่อไป โครงการจะเป็นทัพหลังที่คอยสนับสนุนให้การก้าวเดินไปมั่นคงและเป็นรูปธรรม เกิดแรงกระเพื่อมและเป็นประโยชน์ต่อคนในวงกว้าง โครงการจะประสบความสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่พวกเราทุกคน ถ้าพวกเราไม่หยุดเดินต่อ

ระหว่างวันที่ 29-31 ตุลาคม 2561
ณ ห้องประชุมเอมเมอรัล โรงแรมเดอะ รอยัล เจมส์ กอล์ฟ&รีสอร์ท

สามารถรับชมบันทึกฉบับเต็มได้ ที่นี่

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ