น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี : ห้องเรียนชายหาด เมื่อกำแพงคลื่นระบาดบนหาดสงขลา

ภาพจาก: Beach for Life

โดยสังเขป Beach for Life คือกลุ่มเยาวชนที่รวมตัวติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพชายหาด และศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการต่างๆ ของรัฐ โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างน้อย 2 เรื่องด้วยกัน หนึ่ง – สื่อสารและทำความเข้าใจกับสังคมต่อความเป็นไปของชายหาด และสอง – สร้างการมีส่วนร่วมของคนในสังคมต่อการดูแลชายหาดและทรัพยากรธรรมชาติ ผ่านการทำงานรูปแบบต่างๆ อาทิ จัดเวทีเสวนาปัญหา รวมตัวกันยื่นหนังสือต่อผู้ว่าฯ ไปจนถึงแคมเปญต่างๆ

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แฮชแท็ก #Saveหาดม่วงงาม บนเพจเฟซบุ๊ค Beach for Life เพื่อคัดค้านโครงการกำแพงกันคลื่นบนชายหาด ผู้คนทั้งในและนอกพื้นที่ต่างร่วมใจกันชูป้ายเพื่อส่งเสียงต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

ทั้งหมดนี้ ‘น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี’ ผู้ประสานงานกลุ่ม Beach for Life บอกกับเราว่า ก่อนจะออกไปส่งเสียงถึงผลดีผลเสียของโครงการต่างๆ นั้น อันดับแรกคือการศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริง และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นบนฐานงานวิชาการ

น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี

การระบาดที่ชื่อว่า ‘กำแพงกันคลื่น’

“ในช่วงที่ผ่านมาก่อนการเกิดขึ้นของ COVID-19 มีสถานการณ์การระบาดของกำแพงกันคลื่น ซึ่งก็คือโครงสร้างป้องกันชายฝั่งรูปแบบหนึ่งที่ตั้งอยู่บนชายหาดเลย” น้ำนิ่งเริ่มเล่า

คำถามคือ แล้วปัญหาของกำแพงกันคลื่นนั้นเป็นอย่างไร อาจจะต้องรื้อเรื่องราวไปยังจุดเริ่มต้น มันเป็นวันที่รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ถูกถอดถอนออกจากการสร้างกำแพงกันคลื่น

“เขายกเลิกการทำ EIA ในการสร้างกำแพงกันคลื่นออกไป ทำให้กำแพงกันคลื่นสร้างได้ง่ายขึ้น แล้วมันก็ระบาดไปยังชายหาดในประเทศไทยถึง 74 โครงการ เราก็ติดตามอยู่และพยายามสื่อสารไปสู่สาธารณะว่า โครงการในลักษณะนี้มันมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชายหาด”

คำพูดของน้ำนิ่งสอดคล้องกับความเห็นของ ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง ศูนย์เรียนรู้วิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อนุกรรมการบูรณาการด้านการจัดการการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ซึ่งพูดในเวทีเสวนา ‘กำแพงและกองหินกันคลื่น ยิ่งสร้าง ยิ่งพัง (เมื่อไม่ต้องทำ EIA) จริงหรือ?’

“จากประสบการณ์จากงานวิจัยต่างๆ ทั่วโลกบอกเหมือนกันหมดว่ากำแพงกันคลื่นเป็น Dead of the Beach คือตัวการทำให้ชายหาด ชายฝั่ง หายไปตลอดกาล ทางวิชาการบอกชัดเจนว่ากำแพงกันคลื่นสร้างผลกระทบแรงที่สุดในบรรดาวิธีแก้ปัญหาที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่ทำกำแพงจะไม่ได้ชายหาดกลับคืนมา แต่ปรากฎว่าบ้านเราทำได้อย่างอิสระ ตั้งแต่ส่วนกลางลงไปถึงท้องถิ่น ใครมีปัญหาตรงไหนสร้างกำแพงได้ทันที แม้แต่เขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่งที่สร้างผลกระทบน้อยกว่าก็ยังเป็นโครงการที่ต้องทำ EIA แต่กลับกลายเป็นว่ากำแพงกันคลื่นเป็นโครงสร้างที่ไม่ต้องศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมใดๆ” ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง กล่าวบนเวทีนั้น และปรากฎในรายงานพิเศษของนิตยสารสารคดี

จากการรวบรวมข้อมูลและศึกษาผลกระทบของการสร้างกำแพงกันคลื่นบนชายหาดทราย น้ำนิ่งและทีม Beach for Life ยังพบอีกว่า เมื่อหาดทรายถูกกีดขวางด้วยกำเเพงกันคลื่น แรงคลื่นที่วิ่งเข้ามาปะทะกำเเพงกันคลื่นจะเปลี่ยนระดับความแรงไปจากเดิม คลื่นจะตะกุยทรายด้านหน้าของกำแพงกันคลื่นออกไปนอกชายฝั่งมากขึ้นจากปกติ และปลายสุดของกำแพงกันคลื่นจะเกิดการกัดเซาะชายฝั่ง

“ธรรมชาติของชายฝั่ง จะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ากระแสน้ำชายฝั่ง ซึ่งจะพัดพาทรายให้เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ สมมุติว่าเราหยิบทรายจากหาดมาพ่นสี แล้วโปรยกลับลงไป เมื่อเวลาผ่านไปเราจะพบว่า ทรายที่เราพ่นสีเอาไว้มันจะไปปรากฎที่ปัตตานี และมันจะค่อยๆ มาที่สงขลา มาที่นครศรีธรรมราช ความหมายคือ ทรายนั้นมีการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ด้วยกระแสน้ำชายฝั่ง เมื่อไหร่ที่คลื่นวิ่งมา คลื่นจะพาทรายเข้าออกๆ และเดินทางไปเรื่อยๆ ตามกระแสน้ำชายฝั่ง

“ซึ่งถ้าเราดูภาพถ่ายทางอากาศจะเห็นว่า เมื่อไหร่ที่เราเอาโครงสร้างป้องกันชายฝั่งมากันไว้เนี่ย ทรายจะถูกดักไว้ และจะเกิดการกัดเซาะ พอระบบเป็นแบบนี้ ความหมายคือ เมื่อไหร่ที่เราสร้างสิ่งปลูกสร้างดักทรายเอาไว้ ณ ที่หนึ่ง มันจะกระทบไปอีกหลายๆ ที่เลย”

การเข้ามาของโครงการลักษณะนี้ระบาดเกือบทั่วทุกหาดในสงขลา ไม่ว่าจะเป็น หาดเกาะแต้ว หาดชิงโค หาดม่วงงาม หาดมหาราช แม้หลายโครงการชาวเมืองยังปักหลักต้านไว้ได้ แต่อีกไม่น้อยพวกเขาไม่อาจยับยัั้ง

“เรามีข้อกังวลว่า ถ้าสร้างกำแพงกันคลื่นหลายพื้นที่ขนาดนี้ หาดจะถูกแทนที่ด้วยหิน ด้วยปูนคอนกรีต ซึ่งมันทำให้วิถีชีวิตของคนที่เคยใช้ประโยชน์ริมชายหาดสูญหายไป

“คนที่อยู่ในพื้นที่ริมชายฝั่งนั้น เราต่างผูกพันและยึดโยงกับพื้นที่ชายหาดในแง่ของการพักผ่อนหย่อนใจ แหล่งท่องเที่ยวแหล่งทำมาหากิน เราไปหาหอยเสียบ ไปรุนกุ้งเคย ชายหาดมันมีความหมายกับชีวิตของคนใต้เป็นอย่างมาก พอถูกเปลี่ยนสภาพไปเป็นกำแพงหิน กำแพงคอนกรีต ทำให้การใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปด้วย”

ป้าหนู – พรรณิภา โสตถิพันธุ์ ผู้อำนวยการสงขลาฟอรั่ม เคยกล่าวไว้ใน thepotential.org กรณีการสร้างกำแพงกันคลื่นบนชายหาดสมิลาไว้ว่า

“ฤดูกาลจะมีอยู่ 2 ฤดูกาล มันก็จะมีหน้าที่คลื่นแรงและไม่แรง คลื่นสงบกับคลื่นแรง แต่เราไปโกรธคลื่นตอนที่คลื่นแรง เราก็ไปหาอะไรมาขวางมัน ถ้าไม่ถาวร หมายความว่า สร้างเพื่อพยุงมันไว้เพื่อหน้านี้ แล้วค่อยเอาออก เพื่อให้มันเป็นระบบธรรมชาติเหมือนเดิม แต่นี่เราเอากระสอบหนักเป็นสิบๆ กิโลกรัมวางเป็นภูเขาเลย หรือสร้างเขื่อน หรือระเบิดก้อนหินใหญ่ๆ จากภูเขามาวางเรียง คือเป็นโครงสร้างแข็งถาวรเลย ฉะนั้นเวลาตอนหน้าคลื่นปะทะ มันก็กระชากทรายที่มีตามธรรมชาติออกหมด มันก็พัง”

เสียงของประชาชนถูกตัดตอน

การดำเนินโครงการของภาครัฐหรือเอกชนซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในทางกฎหมายนั้น จำเป็นต้องทำ EIA เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในมิติต่างๆ ได้แก่ มิติทางกายภาพ มิติด้านชีวภาพ มิติด้านคุณภาพชีวิต และมิติด้านการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ เเละต้องมีกระบวนการการมีส่วนร่วม โดยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเเละผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อโครงการที่จะสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการที่อยู่ในช่วงระหว่างการก่อสร้างโครงการหรือช่วงดำเนินงาน

ทว่าในปี 2556 การสร้างกำแพงและกองหินกันคลื่นได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องทำ EIA ด้วยเหตุผลว่า เพื่อไม่ให้การบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนล่าช้า เพราะการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้นค่อนข้างใช้เวลา และเป็นอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที

คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในคราวการประชุมครั้งที่ 6/2556 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2556 เห็นชอบยกเลิกโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลำดับที่ 21 การก่อสร้างหรือขยายสิ่งก่อสร้างบริเวณหรือในทะเล: กำแพงกันคลื่นริมชายฝั่ง ติดแนวชายฝั่ง ความยาว 200 เมตรขึ้นไป

นั่นแปลว่า ผลกระทบใดๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชายหาดและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่จะถูกเมินเฉย การรับฟังความคิดเห็นของชุมชนจะถูกตัดขาดออกไปจากกระบวนการ และเมื่อใดที่กำแพงกันคลื่นถูกสร้างขึ้น เราก็ไม่อาจเรียกคืนชายหาดเช่นเดิมกลับมาได้อีก

“ตัวกำแพงนี้มีผลกระทบค่อนข้างมากกับธรรมชาติ และมีข้อมูลเชิงประจักษ์รองรับ ช่วงก่อนโควิดเราพยายามรณรงค์เรื่องนี้กับประชาชนในพื้นที่ เริ่มทำแคมเปญ #saveหาดมหาราช ก่อน แต่เซฟไม่สำเร็จครับ หน่วยงานเขาก็เดินหน้าอย่างเต็มกำลัง

“จนมาถึงหาดม่วงงาม เราเลยคิดว่า ยุทธศาสตร์การสื่อสารออนไลน์นั่นสำคัญมาก ตอนเรา #saveหาดมหาราช โควิดเพิ่งเริ่มระบาดในจีน ตอนนั้นเราใช้โซเชียลมีเดียสื่อสารน้อยมาก เราพยายามทำงานชุมชนในพื้นที่มากกว่า”

‘หยุดทำลายหาดม่วงงาม หยุดกำแพงกันคลื่น’
‘โปรดฟังเสียงเล็กๆ ของเรา’
‘ขอให้รัฐรับฟังเสียงของชาวบ้าน ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนสร้างกำแแพงกันคลื่น’

หลากหลายข้อความถูกขีดเขียนบนกระดาษ ถ่ายรูปและโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย เพราะแม้สถานการณ์โควิดจะทำให้การเคลื่อนไหวของคนในพื้นที่หยุดชะงักลง ทว่าการก่อสร้างก็ยังคงดำเนินต่อไป นั่นทำให้พวกเขาต้องเคลื่อนไหวผ่านทางออนไลน์ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ผ่านข้อมูลทางวิชาการในเพจ Beach for Life

กรณีหาดม่วงงาม กลุ่ม Beach for Life ได้ติดตามตั้งแต่ปี 2559 เก็บภาพ รวบรวมข้อมูลเรื่อยมา กระทั่งช่วงปี 2562 จึงได้เปิดประเด็นกับสาธารณะผ่านการทำแคมเปญเรื่อง Beach Talk โดยการทำ Facebook Live กับนักวิชาการในประเด็นกำแพงกันคลื่นในมิติต่างๆ ทั้งเชิงวิศวกรรมศาสตร์ นิเวศวิทยาทางทะเล กฎหมาย และนักเคลื่อนไหว นักการเมือง เพื่อที่จะขยายประเด็นในหลายๆ มิติ ไปจนถึงข้อกังวลและทิศทางต่างๆ

“ข้อมูลตรงนั้นเราได้มาเยอะมากและรวบรวมข้อมูลนั้นมาสร้างคอนเทนต์ ทั้งบทความวิชาการ ‘กำเเพงกันคลื่น: หายนะหาดทรายไทย’ นำไปเผยแพร่ผ่านทางเพจ Beach for Life แผนต่อมาคือการย่อยงานวิชาการชิ้นนั้นออกมาเป็นเรื่องๆ ให้ง่ายขึ้นเพื่อสื่อสารไปสู่สาธารณะ”

ภายใต้สถานการณ์การเมืองช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งจาก พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ และการ SLAPP Law (การดำเนินคดีเพื่อระงับการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจการสาธารณะ) กอปรกับสถานการณ์ COVID-19 ยิ่งให้การทำงานยากขึ้นไปอีก

“ที่ใดที่ประชาชนไม่ค่อยตื่นตัว โครงการเหล่านี้ก็จะทำได้ง่าย แต่ถ้าพื้นที่ไหนมีกระแสคัดค้าน โครงการก็จะไปได้ยาก มันเป็นเรื่องปกติของรัฐที่ไม่ค่อยเห็นหัวประชาชน รัฐควรจะรับรู้และคลี่คลาย ไม่ใช่ว่าพอมีโควิดเเล้วเรื่องอื่นต้องถูกพักไปหมด แต่โครงการกลับยังดำเนินต่อไป ดังนั้น ประชาชนมีสิทธิเรียกร้องหรือพูดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น”

แคมเปญ #saveหาดม่วงงาม จึงถูกคิดขึ้นผ่านการถอดบทเรียนจากแคมเปญอื่นที่กลุ่มเคยทำ น้ำนิ่งเล่าว่า หากเป็นสถานการณ์ปกติ กลุ่มจะอาศัยการทำงานเชิงพื้นที่ในการเคลื่อนไหว ทว่าในบรรยากาศที่ต่างคนต่างต้องเว้นระยะห่าง การสร้าง ‘ม็อบออนไลน์’ นั้นได้ผลเกินคาด

“ณ ตอนนี้มีการระบาดของการสร้างโครงสร้างชายฝั่งเยอะมาก ประเด็นคือถ้ามันเกิดขึ้นได้ที่หนึ่ง มันก็จะเกิดขึ้นกับอีกที่หนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น ม่วงงามคือหมู่บ้านหนึ่ง หมู่บ้านถัดไปคือวัดจันทร์ และบ่อแดง ความหมายคือถ้าม่วงงามสร้างกำแพงกันคลื่นได้ 700 เมตร มันจะบีบบังคับให้หมู่บ้านวัดจันทร์ต้องรับโครงการสร้างกำแพงกันคลื่นไปโดยอัตโนมัติเลย เพราะมันเกิดการกัดเซาะชายฝั่งและทำให้ประชาชนยอมที่จะสร้างโดยไม่เต็มใจ มันบีบให้เขาต้องสร้างเพราะแผ่นดินมันหายไป และถ้าวัดจันทร์สร้างได้ บ่อแดงก็ต้องสร้างด้วยเช่นกัน”

ไม่ใช่เพียงแค่เปิดพื้นที่บอกเล่าความรู้สึกผ่านแฮชแท็ก #saveหาดม่วงงาม อีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็ยังต้องทำงานเชิงข้อมูลและพื้นที่ พร้อมๆ กับการสื่อสารผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับหน่วยงานรัฐไปพร้อมๆ กัน

โจทย์ใหญ่ที่ตามมาจากแคมเปญนี้นั้น ไม่ได้อยู่ที่โครงการจะยุติไปได้หรือไม่ แต่เป็นคำถามที่ว่า มันจะพาคนไปทางไหนต่อ เพราะแน่นอนว่า กำแพงกันคลื่นก็ยังดำเนินต่อไป ไม่หาดนี้ ก็หาดอื่น ไม่โครงการนี้ ก็โครงการหน้า

“นี่คือความท้าทายและโจทย์ที่เราต้องคิดกันต่อ เพราะในเมื่ออารมณ์และพลังของคนเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้สังคมไปต่อยังไง จะออกแบบพื้นที่ชายหาดแบบไหนกับผู้คนที่ต่างก็รู้สึกกับมัน นี่คือความท้าทายที่เราต้องทำงานต่อ เพราะมันไม่ได้หยุดอยู่แค่โครงการนี้แน่นอน”

งานใหญ่ยังรออีกข้างหน้ามากมาย สำคัญคือ ทุกคนไม่ได้วาดฝันถึงปลายทางที่สดใสแล้วนั่งรอว่ามันจะเกิดขึ้น ทว่าพวกเขาลุกขึ้นเผชิญหน้า เรียนรู้จากปัญหา และแก้ปัญหาอย่างมีสติผ่านการทำงานร่วมกันเป็นทีมใหญ่ ไม่ใช่เพียง Beach for Life แต่รวมถึงชาวบ้าน ผู้คน เยาวชน ผู้รักและผูกพันกับชายหาด และมีเจตจำนงที่จะปกป้องอย่างแรงกล้า

หาดเพื่อชีวิต และเจตจำนงที่ตั้งมั่น

“Beach for Life มีความเชื่อว่า บุคคลและชุมชนมีสิทธิในการกำหนดเจตจำนงแห่งตน ทุกคนมีหนทางในการเลือก ทรัพยากรชายหาดก็เช่นกัน คนท้องถิ่นที่อยู่กับหาดเขาย่อมมีสิทธิที่จะเลือกว่าหาดบ้านเขาควรเป็นแบบไหน รัฐส่วนกลางไม่ใช่เจ้าของทรัพยากรในพื้นที่ แต่รัฐมีหน้าที่ในการดูแลหรือให้การสนับสนุนเจตนารมณ์ของประชาชนให้เป็นจริง

“เราไม่ได้มองว่า การที่ประชาชนลุกขึ้นมาเรียกร้อง หรือร้องเรียนนู่นนี่นั่น คือการเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐ แต่การที่ประชาชนลุกขึ้นมาพูดมันคือสิทธิขั้นพื้นฐาน เราพยายามจะให้เกิดพื้นที่แบบนี้ เราไม่ได้ชวนชาวบ้านไปประท้วงนะ แต่เรากำลังชวนชาวบ้านไปมีส่วนร่วมกับรัฐผ่านเครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะไปขอพบ ไปขอข้อมูลต่างๆ ดังนั้น มันไม่ใช่การไปประท้วง แต่เป็นการยืดหยัดในเจตจำนงว่าเขาคิดแบบนี้ เขาอยากเห็นแบบนี้ ดังนั้นรัฐควรจะรับฟังและมาเจอกันตรงกลาง แต่ถ้ารัฐไม่รับฟัง เราก็จะหากลไกอื่นๆ เพื่อเปิดพื้นที่ในการคุย”

น้ำนิ่งยกตัวอย่างเช่น การฟ้องศาลปกครองก็ถือเป็นกลไกลหนึ่งในการสร้างพื้นที่การพูดคุยตรงกลางเพื่อหาข้อสรุปจากปัญหาที่เกิดขึ้น โดยไม่ว่าฝ่ายภาคประชาชนจะแพ้หรือชนะ ก็ต้องเคารพในการตัดสินของศาล ซึ่งถือเป็นกระบวนการที่ถูกออกแบบขึ้นมาภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ข้อสังเกตของเขาก็คือ วิธีคิดเช่นนี้กลับไม่ถูกปลูกสร้างในระบบการศึกษา

“ระบบการศึกษาของเราไม่ได้มาสอนแบบนี้ไงครับ เราไม่ได้ถูกสอนว่า ถ้าถูกละเมิดสิทธิ หรือเขามาขุดชายหาดบ้านเรา เราทำอะไรได้บ้าง แล้วเวลาเราคิดอะไรไม่ออก สิ่งที่เกิดขึ้นคือการด่ากราด เราไม่อยากให้เกิดแบบนั้น เรามองว่าเราควรใช้สิทธิและเหตุผลในการพูดคุยกัน เช่น ในเมื่อเห็นต่าง ก็เปิดวงคุยกัน ถ้าเปิดวงคุยไม่ได้ ก็อาจจะหาพื้นที่กลางในการคุย ใช้ผู้ว่าราชการจังหวัด ใช้เทศบาล หรือใช้ศาล เป็นพื้นที่กลางในการพูดคุย ถึงเหตุผล ความจำเป็น และความรู้สึกต่อโครงการ หรือต่อทรัพยากรที่เราหวงแหน”

เมื่อรัฐและปะชาชนต่างไม่เชื่อใจกันและกัน

Beach for Life เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2555 จากการรวมตัวกันของเยาวชนในโรงเรียน และอยากให้เพื่อนๆ มีความรู้เรื่องของชายหาดที่พวกเขาผูกพัน สู่การพานพบปัญหาสิ่งแวดล้อม และทำงานร่วมกับชุมชน

Beach for Life เติบโตขึ้นพร้อมๆ กับอายุของพวกเขา โจทย์การทำงานเองก็เช่นกัน ที่ต้องขยับขยายออกไป ซึ่งทุกๆ ครั้งที่ต้องเจอโจทย์ใหม่ที่ท้าทาย สิ่งที่ขนาบคู่กันมาคือปัญหาและอุปสรรค

“สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดไม่ใช่โครงการของรัฐนะ แต่คือวิธีคิดในการที่จะหาข้อสรุปหรือตกลงกัน คนนี้เห็นว่าดี คนนี้เห็นว่าไม่ดี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาเห็นต่างกัน แต่อยู่ที่เราไม่มีพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่จะทำให้สองกลุ่มนี้มาเจอกัน”

พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ว่า คือพื้นที่ที่ทุกคนดีเบตกันได้ ถกเถียงกันได้ แลกเปลี่ยนกันได้ เพื่อนำไปสู่ทางออกและการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน

“ในกรณีของชายหาด รัฐอาจจะมองว่า ชายหาดควรเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นปูนซีเมนต์ จึงจะดูศิวิไลซ์ สวยงาม เป็นระเบียบ ในขณะที่ชาวบ้านมองว่า เขาอยากได้ชายหาดที่เป็นผืนทราย มีต้นสน มีผักบุ้งทะเล มีหญ้าลู่ลม ซึ่งรัฐอาจจะมองว่ามันสกปรกและดูรก แต่ชาวบ้านเขามองว่า แบบนี้มันคือสิ่งที่เขาต้องการ มันคือธรรมชาติที่เขาอยากจะได้

“มันต้องหาพื้นที่ให้วิธีคิดสองแบบนี้มาถกเถียงกัน และตกลงกันว่าจะเอาอย่างไร เพราะทุกคนมีเสรีในการเลือก ในการคิด ดังนั้นจึงต้องมาคุยกันบนฐานของเหตุและผลว่า ตกลงจะเอาอย่างไร และเคารพว่า ทุกความคิดมีคุณค่า มีความหมาย และถ้าบทสรุปจะเป็นประชาพิจารณ์หรืออะไรอย่างไร ก็ต้องอยู่บนฐานของประชาธิปไตย ผมคิดว่าเรากำลังพยายามสร้างเรื่องนี้”

ถามแบบกำปั้นทุบดิน – พื้นที่ตรงกลางที่ว่า สร้างยากไหม

“ยากนะ กรณีที่หาดม่วงงาม ตอนนี้ยังคุยกันไม่ได้เลย รัฐก็ไม่คุย ประชาชนก็ไม่ไว้ใจที่จะคุย” น้ำนิ่งว่า เขานิ่ง คิดถึงปัญหาครู่หนึ่ง แล้วจึงอธิบายต่อ

“รัฐมองพลเมืองเป็นลูกที่รัฐต้องดูแล นี่คือมายาคติที่รัฐมี เขาไม่เชื่อว่าประชาชนสามารถถกแถลงเองได้ จึงไม่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แถลงจริงๆ

“ประเด็นต่อมาคือ รัฐมีธงไปแล้วว่าเขาจะทำอะไร ตรงนี้คือความยาก เราต้องทำงานกับทั้งภาครัฐและประชาชน ต้องทำให้รัฐเชื่อว่า พลเมืองตื่นตัวได้ และเขามีความพยายาม มีเหตุผลและวิจารณญาณเพียงพอ ที่ผ่านมาเวลาเราเห็นเวทีรับฟังความคิดเห็น รัฐพูดไปเสียเกือบหมด แล้วเหลือเวลาครึ่งชั่วโมงให้ประชาชนออกความเห็น นี่คือภาพสะท้อนที่ัชัดเจนเลยว่า เขาไม่ได้จะมาฟังเสียงของประชาชนจริงๆ แค่ทำตามรูปแบบที่เคยทำมา ถ้าคุณแคร์ประชาชน คุณต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้ดีเบตกันมากกว่านี้ ภาพแบบนี้มันสะท้อนวิธีคิดวิธีทำบางอย่างของรัฐในการทำงานกับประชาชน”

มองอีกแง่หนึ่ง ประชาชนก็ไม่ไว้ใจรัฐ คำถามสำคัญคือ แล้วจะทำงานอย่างไรจึงจะกอบกู้ความเชื่อมั่นระหว่างกันขึ้นมาได้

สิ่งนี้คือความท้าทาย และมีวิธีการนำไปสู่ภาพดังกล่าวที่ต่างกัน สิ่งหนึ่งที่ Beach for Life ทำคือชักชวนชาวบ้าน นักวิชาการ ประชาสังคม รวมไปถึงภาครัฐ มาเดินไปด้วยกันผ่านการทำงานในมิติต่างๆ

“เราพยายามทำงานกับเทศบาลนครสงขลาเพื่อบอกว่า ประชาชนมีข้อเรียกร้องนะ ประชาชนมีข้อเสนอนะ เราชวนคุณมาเก็บข้อมูล ชวนมาออกแบบ ชวนมาเปิดเวที ชวนนักวิชาการมาให้ความรู้และชวนประชาชนมาเสนอความเห็น และพยายามทำให้เวทีที่ประชาชนออกแบบขึ้นมีรัฐอยู่ด้วย เพื่อให้รัฐค่อยๆ มองเห็นว่าประชาชนมีความหมาย และเขาสามารถที่จะคิดอะไรเองได้ ผมคิดว่ามันคือการสร้างวัฒนธรรมให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เราจึงพยายามเปิดพื้นที่ขึ้นมาเยอะๆ”

บทเรียนการทำงาน คือการเคารพและนอบน้อมต่อเพื่อนมนุษย์

8 ปีกับการทำงานเรื่องชายหาด กับชาวบ้าน กับนักวิชาการ กับทีมภาคพลเมือง และกับหน่วยงานรัฐ น้ำนิ่งเล่าว่า ความรู้ความเข้าใจที่เติบโตนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่เขาและทีมรู้สึกร่วมกัน นั่นคือความนอบน้อมที่เติบโตขึ้นในจิตใจ และความเคารพต่อเพื่อนมนุษย์ที่ถูกขัดเกลาผ่านการทำงานมายาวนาน ตั้งแต่เป็นเด็กมัธยมกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย

“เราต้องทำงานตั้งแต่กับเด็กตัวเล็กๆ จนถึงคนแก่ 70-80 ปี ด้วยความที่กลุ่มเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจสูงมากกับชายหาด เราก็ต้องคิดว่าจะทำงานกับชาวบ้านคนใหม่ๆ ที่เข้ามาอย่างไรโดยที่ไม่ไปกดเขา แต่ทำให้เขาได้พูด ได้อภิปราย ได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่การที่เราไปชี้นำเขา

“จริงอยู่ที่ Beach for Life เป็นตัวกลาง แต่ว่าทุกครั้งนั้น เรารู้สึกว่า เราจะไม่ปรากฏตัวบ่อยๆ คราวนี้เราต้องให้ชาวบ้านปรากฏตัวบ้าง ผมว่านี่คือการสลับการเป็นผู้นำ – ผู้ตาม”

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ