26 ธันวาคม พุทธศักราช 2547, ย่ำรุ่ง
หลังคลื่นยักษ์สึนามิสงบลง
860 คือตัวเลขจากข้อมูลของทะเบียนราษฎร์ ระบุจำนวนผู้เสียชีวิต ที่บ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นตัวเลขที่คนในชุมชนต่างรู้ดีว่ามีมากกว่านั้น นั่นเพราะบ้านน้ำเค็ม คือสถานที่ที่มีคนต่างถิ่นมาอาศัยจำนวนมาก รวมทั้งแรงงานเพื่อนบ้านที่เข้ามาแสวงโชค เขาเหล่านั้นต่างก็สูญเสียไม่น้อย
“หลังสึนามิ คนในชุมชนไม่มีความมั่นคงในการอยู่อาศัยที่นี่เลย ทุกคนไม่ประกอบอาชีพ นอนไม่หลับ ครูในโรงเรียนหวาดระแวง เด็กก็หวาดระแวง พอมีข่าวลืออะไรก็ตามที่เป็นลางว่าจะเกิดแผ่นดินไหวหรือสึนามิ ทุกคนก็จะวิ่งกันทุกวัน จากนั้นความยากจนและความลำบากก็มาเยือน”
เสียงคลื่นที่ซัดสาดคนรัก ญาติมิตร และครอบครัวยังคงดังก้อง บ้านเรือนที่ถูกน้ำพัดหายเหลือเพียงเสา เรือแพที่เกยตื้นจอดนิ่งสนิทอยู่เช่นนั้น เสียงเด็กร้องไห้กระจองอแง ไม่มีสิ่งใดประกันได้ว่าคลื่นยักษ์จะมาคร่าชีวิตพวกเขาอีกเมื่อใด
นี่คือภาพที่ ประยูร จงไกรจักร์ ประธานคณะทำงานเครือข่ายภัยพิบัติ จังหวัดพังงา ฉายให้เราเห็นถึงสภาพของบ้านน้ำเค็ม ย้อนไปในตอนนั้น เขาเป็นเพียงชาวประมงและพ่อค้าเร่ หาเลี้ยงปากท้องของครอบครัวและลูกน้อย ทว่าหลังการมาของสึนามิ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประยูรและเพื่อนพ้องชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่ง ริเริ่มการทำงานอาสาสมัคร เพื่อความอยู่รอดของชุมชน
“ชุมชนบ้านน้ำเค็มตอนนั้นอยู่ไม่ได้ มันมีปัญหามากมายหลายเรื่อง เราเลยคิดทบทวนกันว่า ถ้าจะอยู่ต่อคงต้องริเริ่มทำอะไรสักอย่าง คิดต่อจากโจทย์ที่ชาวบ้านบอกว่า ไม่มีใครสักคนเดียวที่บอกเขาได้ว่า จะมีสึนามิหรือไม่มี หรือจะมีตอนไหน แล้วใครจะเป็นคนเตือน นี่คือโจทย์ท้าทายสำคัญ เราจึงเริ่มทำเรื่องของการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ”
เพื่อความอยู่รอด ทำอย่างไรบ้าง?
“เราไม่รู้ และเพราะไม่รู้ เราจึงไปถาม” เขาว่า “แต่ไม่มีใครตอบเราได้เลยในตอนนั้น จนกระทั่งเราไปถาม พี่ด้วง-ปรีดา คงแป้น จากมูลนิธิชุมชนไทย แกก็บอกว่า ไม่รู้ แต่แกรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า การจะทำอะไรก็ตาม มันต้องเริ่มที่ข้อมูล”

‘เราไม่ได้ตายเพราะสึนามิ’
อย่างที่กล่าวไว้ บ้านน้ำเค็มคือสถานที่แสวงโชค จากแร่ดีบุกที่มีมหาศาล ประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ประยูรเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีคนนับรวมผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาได้ครบ 76 จังหวัด เมื่อถึงคราวเกิดภัยพิบัติ การเอาตัวรอดชนิดตัวใครตัวมัน จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขาไม่รอด
“เราเริ่มด้วยการเก็บข้อมูล ทำข้อมูลต่างๆ นานา จึงได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ว่า สึนามิไม่ได้ฆ่าพี่น้องของเราหรอก เพราะขณะนั้นชุมชนบ้านน้ำเค็มมันมีความแออัดของประชากร ถนนก็แคบ ความเห็นแก่ตัวก็เยอะ และไม่สามารถรู้ภัยพิบัติล่วงหน้า ไม่มีใครเตือน พอสึนามิมา บางคนก็เอารถมาขวางถนนบ้างเพื่อจะยกตู้เย็น หรือบางคนไม่เชื่อบ้าง ความวุ่นวายเกิด สุดท้ายแล้วที่เราตาย เพราะเราออกจากพื้นที่ไม่ได้
“เราไม่รู้ว่ามันจะมาตอนไหน จึงต้องเรียนรู้ว่าสึนามิเกิดขึ้นได้อย่างไร พอเกิดแล้ว เรามีเวลาเตรียมตัวเท่าไหร่ เราเริ่มใช้ข้อมูลที่มีลำดับเหตุการณ์ ลำดับสิ่งที่ต้องทำ นั่นคือ เราต้องมีอาสาสมัครคอยแจ้งเตือนให้พี่น้องทราบว่า ตอนไหนที่อยู่ในภาวะเสี่ยงและควรอพยพ แต่จากข้อมูลที่เราเจอพบว่า เมื่ออพยพแล้วไม่สามารถไปต่อได้เพราะคนเยอะ รถเยอะ ถนนแคบ เราจึงตั้งทีมจราจร คอยอำนวยความสะดวก แต่เรามีทีมจราจรแล้วก็ยังไม่พอ เพราะถึงที่สุดแล้ว ถ้าเราไม่มีข้อตกลงร่วมกัน ความวุ่นวายก็ยังเกิด”
ข้อตกลงร่วมกันที่ว่า มีอะไรบ้าง?
“ข้อตกลงกับตัวเอง นั่นหมายถึงกับคนในครอบครัว ช่วงจังหวะที่เราบอกว่าต้องอพยพ ไม่ว่าตอนนั้นในครอบครัวจะอยู่กันครบคนหรือไม่ เราจะไม่หากัน แต่จะนัดหมายไปเจอกันที่จุดปลอดภัย” ประยูรว่า “เราต้องเตรียมกระเป๋าวิเศษเพื่อเก็บเอกสารสำคัญๆ ไว้สักกระเป๋าหนึ่ง จับกระเป๋าแล้ววิ่งได้เลย ไม่เสียเวลา
“ถัดมาคือข้อตกลงของชุมชน เพราะจากข้อมูลบอกว่ารถเยอะ คนก็เยอะ ถนนก็แคบ เราก็ตกลงกันว่า ในขณะที่เกิดวิกฤติ มีคนวิ่งอพยพ ห้ามรถวิ่งสวนทาง ถ้าทำได้ตามนี้ถนนที่เรามีจะสามารถใช้ประโยชน์ได้หมด
“พอเรามีจราจร มีแผน มีข้อตกลงร่วมกันแล้ว คำถามคือ เวลาอพยพไปแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสึนามิมาจริงหรือไม่ จึงจำเป็นต้องมีทีมเฝ้าระวังน้ำอยู่ริมทะเล ซึ่งถ้ามีคลื่นมาภายในสองหรือสามนาทีก่อนถึงฝั่ง คนเฝ้าระวังน้ำสามารถรอดชีวิตได้ถ้าถนนโล่ง
“ปัญหาต่อมาคือ แล้วเราจะอพยพตอนไหน จะเอาอะไรมาเป็นข้อมูลประกอบ จึงจำเป็นต้องมีทีมอำนวยการไปต่อรองกับศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติว่า เราต้องได้รับข้อมูลเรื่องแผ่นดินไหว และเราต้องทำข้อมูลจากภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น การสังเกตพฤติกรรมสัตว์มาเป็นองค์ประกอบ ต้องศึกษารอยเลื่อน ระยะทาง ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเกิดสึนามิ”
ไม่ใช่งานง่ายเลย…
“ใช่ เพราะไม่ใช่ว่าเรารู้แค่ว่าแผ่นดินไหว 8 ริกเตอร์ แล้วต้องวิ่ง แต่ต้องรู้ด้วยว่า แผ่นดินไหวตรงไหน ลักษณะของการไหวเป็นอย่างไร ความห่างของระยะทางจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมาถึงบ้านเรา มันห่างแค่ไหน ต้องคำนวณได้ว่ามันใช้ระยะเวลาเดินทางเท่าไหร่ เมื่อเป็นเช่นนั้น ทีมอำนวยการก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูล ประเมินสถานการณ์ได้ เราจึงจะอพยพพี่น้อง” เขาว่า

“เมื่อก่อนเราซ้อมอพยพปีละสองครั้ง ปีแรกๆ ใช้เวลาอพยพเกือบสามสิบนาที กว่าพี่น้องเราจะออกจากพื้นที่หมด จนได้ข้อสรุปว่า ถ้าเกิดแผ่นดินไหวที่หมู่เกาะอันดามันนิโคบาร์ ซึ่งห่างจากบ้านเรา 589 กิโลเมตร คลื่นสึนามิที่เดินทางด้วยความเร็ว 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แสดงว่าเรามีเวลาไม่ถึง 40 นาทีหลังจากแผ่นดินไหว แล้วเราต้องเอาเวลานั้นไปลบกับเวลาที่กว่าเราจะได้รับข้อมูลแจ้งเตือน กว่าเราจะวิเคราะห์ แสดงว่าเรามีเวลาเหลือไม่ถึง 25 นาทีในการเอาชีวิตรอด”
และจนถึงวันนี้ ชาวบ้านไม่เคยหยุดวิ่ง จากสถิติล่าสุดของการซ้อมอพยพ ประยูรบอกกับเราว่า สามารถอพยพได้ในเวลาเพียง 15-17 นาทีเท่านั้น พวกเขาทำสำเร็จและยืนยันว่า หากวันนี้ สึนามิเข้ามาอีกครั้ง ทุกคนต้องไม่ตาย
“เราเชื่อมาตลอดนะว่า ถ้ามีสึนามิและมีเวลาให้เราเตรียมตัวสัก 20 นาที ทุกคนรอดหมด และยังเชื่อว่าถ้าเกิดขึ้นในอนาคต ทุกคนก็ยังจะรอด เพราะสิ่งที่เราทำมันมีการสืบทอดสู่เด็ก เยาวชนรุ่นหลัง สำคัญคืออะไรก็ตามที่เราทำจนเป็นวิถีชีวิต มันซึมซับเองโดยไม่ต้องสอน
“พูดง่ายๆ ว่า เด็กน้อยอายุ 3-4 ขวบ ไม่ว่าจะลูกใครหลานใคร จะเรียกให้ตื่นนี่ยากมาก แต่ถ้าบอกว่าแผ่นดินไหว หรือสึนามิ เขาจะลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่เคยเห็นสึนามิ แต่การที่เราทำอะไรซ้ำๆ จนเป็นวิถีชีวิตของเรา มันจะซึมซับไปในเด็กรุ่นใหม่โดยอัตโนมัติ” ประยูรกล่าว ด้วยแววตาที่มั่นคงและน้ำเสียงอันหนักแน่น
เอาเครื่องแบบมาเป็นเครื่องมือ, แล้ววิ่งให้สุดแรง
ใช้เวลานานไหมกว่าทีมงานอาสาสมัครจะเรียกกำลังใจของชาวบ้านกลับมาได้
“เกือบปี ไม่ได้หมายถึงว่าข้อมูลมันยากนะ ที่ยากคือชาวบ้านทำงานด้วยกันไม่ได้” เขาว่า
“เราล้มเหลวหลายครั้งนะ ไปสอบถามเขา เขาไม่ให้ความร่วมมือ เขาบอกว่า ‘แล้วมึงจะทำอะไรได้ มึงก็ชาวบ้านเหมือนกู’ เพราะเขาไม่เชื่อถือเรา”
ล้มเหลวหลายครั้ง ถอดใจหลายหนกว่าจะถึงบางอ้อ ประยูรเล่าว่า สุดท้ายแล้วทีมงานได้ตกตะกอนความคิดร่วมกัน ปัญหาจึงคลี่คลายได้
“คนไทยไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาเชื่อแต่คนที่มีเครื่องแบบ เชื่อแต่หน่วยงานรัฐ เราเลยคิดได้ว่า จำเป็นที่จะต้องเอาเครื่องแบบมาเป็นเครื่องมือ” เขาว่าเช่นนี้
เมื่อชาวบ้านไม่ฟังชาวบ้านด้วยกัน ประยูรและทีมอาสาสมัครจึงค้นหาเครื่องแบบ โดยการเข้าไปเป็นทีม อปพร. (อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน) ที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทีมจึงทำงานต่อได้ แต่ปัญหาก็ยังไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด
“ปัญหาต่อมาคือ ชาวบ้านบอกว่า เขาไม่วิ่ง เพราะวิ่งไปแล้วไม่มีใครสามารถรับผิดชอบทรัพย์สินของเขาได้” คราวนี้ประยูรได้แต่เกาหัวแกรกๆ แล้วจึงเริ่มเล่าวีรกรรมการทำงานต่อ “เอ้า! ถ้าอย่างนั้นแล้วให้เขาวิ่งไป ทีมงานจะเป็นคนเฝ้าทรัพย์สินให้เขาเอง ดังนั้นทีมเราจึงต้องฝากชีวิตไว้กับคนเฝ้าระวังน้ำที่อยู่ริมทะเล พอปรับแผน เขาก็ให้ความร่วมมือ”
เราไม่อาจคาดเดาตัวเลขได้เลยว่า พวกเขาต้องวิ่งมาแล้วกี่ร้อยกี่พันรอบ ต้องทะเลาะกันมาแล้วกี่ร้อยครั้ง หรือล้มเลิกถอดใจมากี่พันหน แต่เมื่อพวกเขาเริ่มวิ่ง ฟันเฟืองแห่งชีวิตของชุมชนจึงเริ่มทำงานอีกครั้ง ระบบความสัมพันธ์ของผู้คนที่เคยขาดวิ่น จึงถูกถักทอขึ้นใหม่ โดยมีหัวใจบนความเชื่อที่ว่า ‘จะต้องไม่มีใครตายเพราะสึนามิอีกแล้ว’
ชุมชนเปลี่ยน ความสัมพันธ์เปลี่ยน ‘คน’ ก็เปลี่ยน
ดูเหมือนว่าสึนามิเข้ามาเปลี่ยนทุกอย่าง
“เปลี่ยนทุกเรื่องเลย เปลี่ยนรากเหง้าของชุมชนเลยด้วยซ้ำ จากเมื่อก่อนอยู่กันแบบแก่งแย่ง เพราะเดิมทีหมู่บ้านนี้ประกอบด้วยคนต่างถิ่นเกือบครบทุกจังหวัดของประเทศ กลายเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น ทุกคนคุยกันได้” ประยูรว่า
ทุกคนในที่นี้ แปลว่าทุกคนจริงๆ
“ตอนเราเริ่มคิดทำ เราคิดไปถึงเหล่าแรงงานเพื่อนบ้านที่มาอยู่ในชุมชนและมีจำนวนเกือบเท่ากับพวกเราคนไทย เขาต้องมีส่วนร่วมด้วย เราก็เอาแกนนำของเขามาประมาณ 20 คน มาเป็นกรรมการร่วมกับเรา และช่วยกันสื่อสารผ่านการประชุมที่มีขึ้นบ่อยๆ เมื่อก่อนคนไทยกับเหล่าแรงงานเพื่อนบ้านจะมีการทะเลาะวิวาทกันบ่อยมาก แต่พอหลังจากได้คุยกัน เขาก็ปรับพฤติกรรม เช่น การเดินมาเป็นกลุ่มของแรงงานเพื่อนบ้านที่ชอบเดินเต็มถนน รถวิ่งไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ก็ถูกปรับหลังจากได้พูดคุยกัน
“ส่วนชาวประมงพื้นบ้านกับประมงพาณิชย์ที่ไม่เคยรู้จักคุ้นเคยกัน ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน แต่พอมาทำเรื่องนี้ด้วยกัน ทุกคนก็หันมาไว้วางใจซึ่งกันและกัน คุยกันได้ การช่วยเหลือทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลยไม่ว่าจะงานวัด งานโรงเรียน งานสังคม เราถึงได้แง่คิดว่า การใช้เรื่องภัยพิบัติมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเรื่องอื่นด้วยนั้น สามารถทำได้ และใช้ได้ดี ไม่ว่าจะเรื่องการดูแลทรัพยากร การปลูกป่าชายเลน ความสัมพันธ์ ใช้ได้หมดเลย”
‘พังงา’ แห่งความสุข
จากผู้ประสบภัยสึนามิ สู่การทำงานเพื่อสังคมอย่างเต็มตัว ประยูรและเพื่อนพ้องอีกจำนวนไม่น้อยคือบุคคลเหล่านั้น พวกเขาเล่าว่า มิใช่เพียงบ้านน้ำเค็มเท่านั้นที่ประสบปัญหา แต่จังหวัดพังงาในหลายบริบทพื้นที่ต่างก็กำลังเผชิญกับปัญหาในหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะสวัสดิการชุมชน การแย่งชิงทรัพยากร ปัญหาที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ ตลอดจนปัญหาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร
“ในแต่ละชุมชนนั้น เขาก็กำลังขับเคลื่อนและแก้ปัญหาของพี่น้องในชุมชนของเขาอยู่ ช่วงปี 2553-2554 พวกเราเริ่มคิดอยากทำเรื่อง ‘จังหวัดจัดการตนเอง’ผลคือโดนต่อต้านจากหน่วยงานภาครัฐบ้าง ท้องที่ท้องถิ่นบ้าง เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไร
“เรามาคิดกันใหม่ว่า จะทำเรื่อง ‘พังงาแห่งความสุข’ หมายความว่า เราอยากทำให้จังหวัดพังงาสามารถกำหนดการพัฒนาเองได้จากฐานราก ก็คือความต้องการของคน ชุมชน เพื่อความมั่นคงของชีวิต ความเป็นอยู่ และทรัพยากรก็จะไม่ถูกล้างผลาญ”
ด้วยบทเรียนช่วงภัยพิบัติ ประยูรและทีม ‘พังงาแห่งความสุข’ จึงตั้งหลักการทำงานครั้งนี้ด้วยการสำรวจข้อมูลและวิเคราะห์ชุมชนในจังหวัดพังา เพื่อค้นหาปัญหา ต้นทุน และศักยภาพของแต่ละพื้นที่
“ทำมาระยะหนึ่ง พังงาแห่งความสุขถูกพัฒนาไปยังกลุ่มเอกชน นักธุรกิจเขาก็เริ่มมองว่า การทำธุรกิจหรือท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์แบบเดียว โดยที่ชุมชนไม่ได้ประโยชน์ มันไปด้วยกันไม่ได้ เพราะถ้าชุมชนอยู่ไม่ได้ เขาก็อยู่ไม่ได้ จึงเกิดการคิดแบบบูรณาการ กลายเป็นว่าเป้าหมายของพังงาแห่งความสุขจึงเข้าไปอยู่กับทุกองค์กรในจังหวัด รัฐ เอกชน ชุมชน”
ปัญหาที่แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน ทั้งระดับชุมชน กระทั่งระดับจังหวัด ทั้งจากนโยบายการพัฒนาของรัฐ การเข้ามาหาผลประโยชน์ของกลุ่มทุนบางกลุ่มเพื่อสร้างเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว
หากถอยหลังมามองภาพเหล่านี้สักหนึ่งก้าว เราจะเห็นพ้องกันว่า ปัญหานั้นมีขนาดใหญ่ ล้วนเกี่ยวพันไปถึงระดับนโยบายและโครงสร้างของรัฐ นั่นจึงทำให้พวกเขาต้องคิดใหญ่ตามขนาดของความฝัน ภาพที่อยากเห็นคือเมืองที่รุ่มรวยไปด้วยความสุขของผู้คน

“ถ้าภาคประชาชนไม่เข้มเเข็ง ตั้งวงกันเอง ทะเลาะกันเอง พอไปคุยกับคนอื่นกลับไปทะเลาะกันเองต่อหน้าคนอื่นนี่แหละ ปัญหา ไปไม่รอด แต่พอทะเลาะกันเองเสร็จ มันมีข้อตกลงร่วมกัน มีเป้าหมายเดียวกัน เราจะรอด
“เราจึงมองว่าการทำงานร่วมกับรัฐหรือกับใครก็ตาม ต้องสร้างความไว้วางใจกันก่อนว่า เราไม่ได้มาทำตรงนี้เพราะประโยชน์ส่วนตน หรือประโยชน์ทางการเมือง แต่เรามีเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจน”
จากแนวคิดพังงาแห่งความสุขในปี 2553 ปัจจุบัน ถูกพัฒนาเป็น สถาบันการเรียนรู้พังงาแห่งความสุข ทีมงานของกลุ่มเติบโตกลายเป็นครอบครัวใหญ่ ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกและชุมชนในจังหวัดมากมาย ที่มารวมตัว ร่วมคิด วางแผน กำหนดชุมชนของตนบนวิถีแห่งการนำร่วม (Collective)
ในตอนท้ายของการสนทนา ประยูรพาเราไล่เลียงภาพของแต่ละชุมชน ที่สร้างความเข้มแข็งและร่วมกันพัฒนาโดยคนในชุมชน จนเกิดเป็นกรณีศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม และพัฒนาองค์ความรู้นั้นๆ จนเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละพื้นที่
“หนึ่ง ชุมชนรมณีย์ที่พังงา ความสุขของรมณีย์คือเมืองที่ไม่มีหนี้สิน เมืองที่ชาวบ้านมีสวัสดิการที่เข้มเเข็ง ปัญหาหนี้สินนอกระบบที่เคยเรื้อรังในพื้นที่ก็ถูกแก้ไข และมีอำนาจต่อรองเรื่องเศรษฐกิจชุมชน ไม่มีการขูดรีดจากพ่อค้าคนกลางในเรื่องพืชผลการเกษตร
“สอง เกาะยาวน้อย คือการดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายใต้วิถีมุสลิม การจัดการท่องเที่ยวโดยการกำหนดผังพัฒนาเกาะโดยคนในชุมชนบนวิถีที่เคยเป็นมา กระทั่งว่า ลูกหลานที่เรียนจบมาจากเมืองใหญ่ สามารถกลับมาทำงานที่บ้านได้ และยังสามารถปกป้องทรัพยากรจากการรุกคืบของทุนใหญ่ได้
“สาม บ้านทับตะวัน วิถีมอแกลนกับการกำหนดชุมชนของตนเองผ่านวิถีวัฒนธรรม จากอดีตของการเป็นผู้บุกเบิกชุมชน กลับกลายป็นผู้บุกรุก นำไปสู่การถูกไล่รื้อบ้านและต้องต่อสู้เพื่อที่ดินทำกิน วันนี้พวกเขาสามารถสร้างโมเดลเพื่อเป็นกรณีศึกษาให้กับพี่น้องชาติพันธุ์ในที่อื่นๆ ของประเทศได้
“สี่ บ้านน้ำเค็ม ทำเรื่องการจัดการภัยพิบัติในชุมชนจากประสบการณ์สึนามิ พวกเขาลุกขึ้นมาเปลี่ยนเมืองและฟื้นชีวิตของคนในชุมชนจากการสูญเสียครั้งนั้นได้ มันมาจากความเจ็บปวดของคนจริงๆ อีกทั้งภัยพิบัติครั้งนั้นได้สร้างคนทำงาน สร้างจิตอาสามากมาย เป็นการจัดการภัยพิบัติที่ได้รับการยอมรับระดับโลก
“ห้า บ้านโคกเจริญ ทำเรื่องอาหารปลอดภัยและปิ่นโตเพื่อสุขภาพ รณรงค์ไม่ใช้สารเคมี ปลูกผักกินเองปลอดสารพิษ และพัฒนาจนเป็นโมเดลที่เอาไปทำงานต่อในดับอำเภอและจังหวัดได้”
“หก รวมคนสร้างเมือง นี่คือหลักสูตรการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนสามารถบริหารจัดการความต้องการของชุมชน ออกแบบแนวทางการใช้ทรัพยากรหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ เข้าใจหลักการคิดเชิงระบบ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลประวัติศาสตร์และต้นทุนทางสังคมเพื่อสร้างเป้าหมายและยุทธศาสตร์ที่เอื้อให้เกิดการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ”