ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มีกลุ่มครูที่ทำงานด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่องด้วยการนำบริบทของพื้นที่เป็นโจทย์ โดยเฉพาะในประเด็นด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครูกลุ่มนี้ขับเคลื่อนงานในหลายชื่อ เช่น Moral Bike, ดินดำ น้ำซุ่ม-Ed หรือก่อการครูกาฬสินธุ์ แม้ว่าจะทำงานในชื่อที่ต่างกันตามวาระและโอกาส ทว่า เป้าหมายสำคัญคือ การสร้างการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับทรัพยากร ชุมชน และชีวิตของผู้เรียน
การทำงานขับเคลื่อนประเด็นด้านการศึกษาเชิงพื้นที่อาจดูเป็นเรื่องท้าทายและเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อทีมทำงานหลักคือ ‘ครู’ ไม่ใช่ NGO เต็มตัว อย่างไรก็ตาม ‘ก่อการครูกาฬสินธุ์’ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า การทำงานการศึกษาที่มาจากคนหน้างานจริงที่รู้ปัญหาและเห็นโอกาส มีความสนใจต่อประเด็น และมีความเชื่อในการสร้างการเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เครือข่ายสามารถดำเนินงานมาได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสามารถขยายความร่วมมือและส่งต่อคุณค่าที่เชื่อ เพื่อสร้างการเรียนรู้แนวใหม่ในเชิงพื้นที่ได้
บันไดสามขั้น: บทเรียนการทำงานของก่อการครูกาฬสินธุ์
จากการทำงานมาอย่างต่อเนื่องหลายปี ‘ก่อการครูกาฬสินธุ์’ โดย ครูตู้ – สราวุฒิ พลตื้อ, ครูฝน – สายฝน จันบุตราช และครูนา – กัญจนา แข็งฤทธิ์ ตัวแทนกลุ่มได้เล่าถึงข้อค้นพบสำคัญ ซึ่งเป็นแนวทางให้ครูหรือเครือข่ายอื่นๆ ใช้เป็นแนวทางสำหรับการริเริ่มการทำงานด้านการศึกษาของตนเองได้
1. เริ่มจากสิ่งที่เราสนใจหรือเห็นคุณค่า – ก่อการครูกาฬสินธุ์ เริ่มต้นมาจากเครือข่ายครูที่มีความสนใจในคล้ายกัน นั่นคือ ‘สิ่งแวดล้อมศึกษา’ ทำให้กลุ่มเห็นเป้าหมายเดียวกันที่จะผลักดันการศึกษาในประเด็นนี้ โดยการใช้การเรียนรู้เป็นเครื่องมือสำคัญ นอกจากนี้ การที่กลุ่มมีฐานความสนใจคล้ายกัน ทำให้การทำงานของกลุ่มมีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์และมีความเชี่ยวชาญร่วม ดังที่ครูตู้สะท้อน
“พวกเรามีเลนส์วิเศษ คือ การสังเกตสิ่งรอบตัวแล้วสามารถนำมาออกแบบการเรียนรู้ได้ มันมาจากการเปิดผัสสะที่มากพอ พวกเราไปเปิดความรู้กันเยอะจากสายธรรมชาติวิทยา ทำให้พวกเราไวกับความรู้สึก ไวกับการเชื่อมโยง”
2. ทดลองทำ ลองผิดลองถูก และให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ – เพราะการเรียนรู้บางอย่างไม่สามารถทำในห้องเรียนได้ พื้นที่การเรียนรู้นอกห้องเรียนของก่อการครูกาฬสินธุ์จึงเป็นพื้นที่ให้ครูได้ทดลองทำ ได้ลองถูกลองผิด สั่งสมประสบการณ์เรื่อยๆ จนทำให้การทำงานมีความคมชัดขึ้น รวมถึงการออกแบบกิจกรรมที่มีความลึกขึ้น นอกจากนี้ ผลลัพธ์ของการเรียนรู้หรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับนักเรียนแล้วสะท้อนกลับไปยังห้องเรียนของเขาเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นดอกผลจากการทำงานของทีม รวมถึงเป็นสิ่งช่วยพิสูจน์ให้เห็นความสำเร็จและทำให้ทีมสามารถขยายความร่วมมือไปในระดับต่างๆ ด้วยเช่น
“แรกๆ เรามีความกังวลว่าคนรอบข้างจะเห็นดีเห็นงามด้วยไหม เราอาจต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ทั้งจากการทำงานทั้งสิ่งแวดล้อมศึกษาหรือดงระแนงวิทยา เราพยายามทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ให้คนจับต้องได้ เข้าใจว่าเราทำอะไร เป็นการขายของทางอ้อม ทำให้คนที่กำลังมองเราอยู่เข้ามาร่วมได้ง่าย พักหลังเราวางใจมากขึ้นว่าจะมีคนมาร่วมด้วยกับงานของเรา” ครูฝนสะท้อน
3. ความร่วมมืออย่างเป็นทางการเป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญ – เมื่อทำงานเชิงเครือข่ายอย่างไม่เป็นทางการมาอย่างต่อเนื่อง จนเห็นความชัดของตนเอง นั่นคือ สามารถบอกได้ว่าเราคือใคร มีความเชื่ออย่างไร และกำลังทำอะไร รวมถึงเห็นผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม การขยายความร่วมมือผ่านกลไกราชการเป็นอีกขั้นที่ก่อการครูกาฬสินธุ์ใช้ในการเชิญชวนครูในโรงเรียนเรียนต่างๆ ผ่านหนังสือราชการ เพื่อให้มา ‘ชิม’ หรือลองเข้ากิจกรรมของก่อการครูกาฬสินธุ์ โดยหวังว่าจะได้รับประสบการณ์ในการเรียนรู้โดยตรง ขณะเดียวกันทำให้ครูจากโรงเรียนต่างๆ ได้เห็นกระบวนการทำงานของทีมด้วย และเมื่อเห็นว่าโรงเรียนไหนมีการทำงานในประเด็นเดียวกัน นั่นคือ ‘การเรียนรู้ฐานชุมชน’ ทีมก่อการครูกาฬสินธุ์จะชวนมาร่วมเป็นโรงเรียนเครือข่าย เพื่อสร้างความร่วมมือในการเคลื่อนประเด็นและคอยเป็น ‘ โค้ช’ ให้ความช่วยเหลือสำหรับการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ฐานชุมชน
จากการทำงานที่ผ่านมา การทดลองทำในสิ่งที่ตนเองเชื่อ ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด การทำงานมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถสร้างรูปธรรมให้เห็นและเกิด Best Practices จากคุณครูหลายคน ในวันนี้ ‘ก่อการครูกาฬสินธุ์’ มองตนเองในฐานะพื้นที่ของการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณครูและเครือข่ายใหม่ๆ ที่ต่างเข้ามาเพื่อค้นหาแนวทางหรือแรงบันดาลใจในการสร้างการเรียนรู้ ขณะเดียวกัน ก่อการครูกาฬสินธุ์ยังทำหน้าที่เป็นระบบสนับสนุนให้แก่โรงเรียนในเครือข่ายที่ต้องการเคลื่อนงานในประเด็นการเรียนรู้ฐานชุมชนในพื้นที่กาฬสินธุ์อีกด้วย
‘ความสัมพันธ์ของผู้คน’ ข้อค้นพบของการเรียนรู้ฐานชุมชน
ก่อการครูกาฬสินธุ์ มีความโดดเด่นด้านกระบวนการเรียนรู้ฐานชุมชนที่ใช้ธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมเป็นฐาน การทำงานในปีนี้ยังคงใช้เกาะเกี่ยวในประเด็นดังกล่าว ทว่า มีความแตกต่างจากการทำงานที่ผ่านมา นั่นคือ ความหมายของคำว่า ‘ชุมชน’ ในครั้งนี้ ไม่ได้โฟกัสเพียงแค่เรื่องของธรรมชาติ แต่ยังให้ความสำคัญกับ ‘ความสัมพันธ์’ ที่มีของผู้คนในชุมชนที่ล้วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างห้องเรียนฐานชุมชน ดังที่เกิดกับห้องเรียนชุมชนของครูนา ณ ‘บ้านหนองบัว’ ซึ่งกลายเป็นห้องเรียนต้นแบบที่พาครูและนักเรียนได้เรียนรู้ชุมชนและค้นพบมิติใหม่ที่ต่างจากเดิม
“ปีนี้เราโฟกัสเรื่องชุมชนต่อเนื่องมาจากปีก่อน แต่ลงไปที่ชุมชนจริง (บ้านหนองบัว) มีความต่างจากปีที่แล้วอย่างมาก ปีที่แล้วทุกอย่างจัดเบ็ดเสร็จที่เรา เราไปใช้สถานที่อย่างเดียว แต่ปีนี้พอมาใช้ชุมชนของตนเอง ทำให้มีการประสานงานกับทีมผู้นำหมู่บ้านมากขึ้น ก่อนทำกิจกรรมก็ไปคุยกับเขาก่อน และได้รับความร่วมมือจากชุมชนในการประชาสัมพันธ์ ผู้นำชุมชนมาร่วมนำเดินชุมชนเพื่อให้ความรู้กับเราด้วย รวมถึงการจัดการอาหาร ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับเรา” ครูนาในฐานะเจ้าบ้านสะท้อน
ข้อค้นพบที่ทีมก่อการครูกาฬสินธุ์เห็นตรงกันจากการทำงานครั้งนี้ คือ การสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้คนในชุมชน ทำให้ชุมชนเกิดความตื่นตัวและอยากเข้ามามีส่วนร่วมทั้งในเชิงกระบวนการทำงานและกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการเสริมพลังให้กับชุมชนในการเห็นความสามารถและเห็นคุณค่าของชุมชนในการเป็นวัตถุดิบสำหรับการสร้างการเรียนรู้ได้ หลังจากห้องเรียนชุมชนครั้งนั้น ครูฝนเล่าว่าค่าตอบแทนจากความร่วมมือของคนในชุมชน คือ การเปิดห้องเรียน Eco Printing ให้กับแม่ๆ ซึ่งเป็นเสมือนการคืนหรือตอบแทนในสิ่งที่ชุมชนให้ก่อนหน้า เป็นการขอบคุณผ่านการเปิดห้องเรียนให้ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ในมิติของผู้เรียน พบว่า เด็กๆ ที่มาเรียนรู้แสดงให้เห็นความกล้าแสดงออก เขาสามารถกล้าถามในสิ่งที่ตนอยากรู้มากขึ้น มีความตื่นเต้น หรือรู้สึกว้าวกับสิ่งที่มีอยู่ในชุมชน พวกเขามองเห็นความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนมากขึ้น ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัย ซึ่งเกิดจากบรรยากาศของการ ‘พาข้าว’ (การล้อมวงทานข้าวร่วมกัน) นอกจากนี้ เด็กๆ สามารถมองย้อนประเด็นกลับไปที่ชุมชนตนเอง ทำให้เขาเห็นรายละเอียดของชุมชนมากขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้ฐานชุมชนครั้งนี้ ทั้งในมิติของความร่วมมือหรือรูปแบบของกิจวัตร (เช่น วงพาข้าว) ครูตู้สะท้อนว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดอย่างเป็นระบบ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการปะติดปะต่อและเชื่อมโยงกันไปตามธรรมชาติ ซึ่งนี่ถือเป็นรูปแบบการทำงานอย่างหนึ่งของก่อการครูกาฬสินธุ์ นั่นคือ ความเป็นธรรมชาติที่เกิดจากวิถีการปฏิบัติของคนในทีม แต่สามารถสะท้อนแง่งามออกมาเป็นการเรียนรู้ได้
ภาพฝันปลายทางที่อยากเห็น
“เราอยากเห็นการตั้งคำถามและใคร่ครวญมากขึ้นว่า ‘สิ่งที่ทำกับเด็กตอบโจทย์อะไร’ การเรียนรู้ฐานชุมชนอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้เรามองเห็นความหมายของการเรียนรู้ในมิติที่ลึกกว่าเดิม เป็นจุดตั้งต้นของการบูรณาการการเรียนรู้ที่ไม่ใช่เพียงการเชื่อมเนื้อหาหลายวิชาเข้าด้วยกัน แต่คือการเชื่อมโยงชีวิตของผู้เรียนเข้ากับการเรียนรู้
ผลลัพธ์ที่เราอยากเห็นจากครู เราอยากเห็นครู 2–3 คน ออกแบบการเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นองค์รวม ทดลองสร้างหน่วยการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงความรู้ ทักษะ และคุณค่าชีวิตเข้าด้วยกัน โดยไม่เริ่มจากตัวชี้วัด แต่เริ่มจาก ‘คำถามที่มีความหมาย’ แล้วค่อยให้ตัวชี้วัดมาเป็นเครื่องมือสะท้อนการเติบโตของผู้เรียนระหว่างทาง
เราอยากเห็นการเรียนรู้ที่มีชีวิต มีความหมาย และเชื่อมโยงกับโลกจริงกับนักเรียน เขามองเห็นสิ่งรอบตัว และห้องเรียนเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา
ผลลัพธ์ที่เราอยากเห็นจากนักเรียน เราอยากเห็นเรื่องเล่าของการค้นพบตัวเอง เด็กๆ สามารถบอกได้ว่า ‘เขาเป็นใคร’ ‘เขามีคุณค่าอะไร’ และ ‘เขาเห็นตัวเองอย่างไร’ ผ่านกระบวนการเรียนรู้ของก่อการครูกาฬสินธุ์
สุดท้าย เราอยากเห็นเครือข่ายโรงเรียนที่ร่วมกัน MOU ค้นพบบางอย่างที่มีความหมายในชุมชนของตนเอง จนชุมชนกลายเป็นห้องเรียนที่มีชีวิต เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ร่วมกันของครู นักเรียน และคนในชุมชน”
ภาพฝันข้างต้นถือเป็นเป้าหมายหรือปลายทางที่ ‘ก่อการครูกาฬสินธุ์’ หวังให้เกิดขึ้น ภาพฝันเหล่านั้นทำให้เกิดการค่อยๆ ลงมือทำ ลองผิดลองถูก สั่งสมประสบการณ์ จนถึงวันหนึ่งที่พวกเขาบอกได้ว่า ‘พวกเขาเป็นใคร มีความเชื่ออย่างไร และกำลังทำอะไร’ และต้องการที่จะส่งต่อความเชื่อและวิธีการดังกล่าวให้แก่คนที่เห็น ‘ดาว’ ดวงเดียวกัน
เลินหนองบัว ทัวร์ แอนด์ แชร์ :
ห้องเรียนฐานชุมชนตามแบบก่อการครูกาฬสินธุ์
สัมผัสวิถีสู่ดวงดาวกับก่อการครูกาฬสินธุ์ได้ที่กิจกรรม ‘ก่อการครูกาฬสินธุ์ : เลินหนองบัว ทัวร์ แอนด์ แชร์’ ในวันที่ 21 พ.ย. 2568 ณ วัดมุจจรินทาราม บ้านหนองบัว อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ร่วมโฮมใจสร้างการเรียนรู้ ชมตัวอย่างการสร้างนิเวศการเรียนรู้ในพื้นที่ชุมชนบ้านหนองบัว จากการร่วมแรงร่วมใจของบ้าน-โรงเรียน-ชุมชน เพื่อการเรียนรู้และเติบโตของนักเรียน NextGen ในพื้นที่ (ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ดินดำน้ำซุ่ม-Ed)



