ห่างจากตัวเมืองลพบุรีราว 60 กิโลเมตร คือสถานที่ตั้งของชุมชนวัฒนธรรมไทยเบิ้ง ตำบลโคกสลุง อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี หลายคนอาจรู้จัก ‘โคกสลุง’ ในฐานะชุมชนริมเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เส้นทางรอยต่อระหว่างภาคกลางและภาคอีสาน โดยมีขบวนรถไฟลอยน้ำอันลือชื่อเคลื่อนผ่านเวิ้งน้ำป่าสัก
อีกด้านหนึ่ง โคกสลุงยังถูกพูดถึงในแง่กระบวนการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน โดยคนในชุมชน เพื่อคนในชุมชน เรื่องราวนี้ รศ.ดร.กาสัก เต๊ะขันหมาก อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ได้พูดถึงไว้อย่างน่าสนใจผ่านงาน ‘2 ทศวรรษ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยเบิ้ง โคกสลุง’ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ที่ผ่านมา

“โคกสลุงเป็นชุมชนริมแม่น้ำป่าสักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นชุมชนโดดเดี่ยว ห่างจากเมืองลพบุรี สมัยก่อนนั้นเพียงจะเข้าเมืองก็ต้องนั่งรถไฟไปลงสระบุรี ขึ้นรถบัสไปลพบุรี ออกตั้งแต่เช้ามืด ต้องไปค้างคืน เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องหามกันไปไกลอย่างทุลักทุเล วิกฤติของโคกสลุงคือโอกาส ความโดดเดี่ยว ห่างไกล และดูเหมือนถูกตัดขาด ทำให้คนโคกสลุงเข้มเเข็ง”
ปัจจุบัน โคกสลุงเปรียบเสมือนห้องเรียนขนาดใหญ่ มีผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งนักศึกษา นักวิชาการ นักพัฒนาสังคม ผู้นำชุมชนต่างๆ แวะเวียนเข้ามาศึกษาดูงาน เรียนรู้ถึงวิธีคิดและวิธีขับเคลื่อนชุมชนโคกสลุงให้เติบโตและแข็งเเรงบนต้นทุนทางวัฒนธรรม โดยมีปลายทางคือ ‘ความสุขร่วมกันของชุมชน’
พวกเขาเริ่มต้นจากอะไร มีวิธีคิดเช่นไร เผชิญอุปสรรคแบบไหน แล้วก้าวผ่านได้อย่างไร ข้อเขียนถัดจากนี้อาจให้คำตอบบางประการ ผ่านปากคำของผู้ที่เคยสัมผัสและเรียนรู้ร่วมกับชาวชุมชนโคกสลุงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

รู้จักตัวตน ค้นหาเพื่อน
ชุมชนที่ห่างไกล เผชิญวิกฤติมาหลายครั้ง ทั้งจากการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ชาวบ้านถูกเวนคืนที่ดิน พื้นที่ทำกินถูกแปรเป็นเงินก้อนโต ทั้งจากการถูกขีดสีตีเส้นผังเมืองให้เป็นเขตอุตสาหกรรม หรือกระทั่งการเข้ามาของโครงการพัฒนาต่างๆ ของรัฐ
ประกอบกับการเกิดขึ้นของเขื่อนป่าสักฯ จากชุมชนโดดเดี่ยวห่างไกล กลายเป็นพื้นที่ศึกษาวิจัยโดยอาจารย์และนักวิชาการมากมาย เวลานั้นเองที่ชาวบ้านได้รู้ว่า พวกเขานั้นคือคน ‘ไทยเบิ้ง’
“การรู้จักตัวตนคือจุดเริ่มต้นของการทำงานที่นี่ เขาเห็นภาพ 2 ภาพคือ หนึ่ง–เห็นปัญหาของตนเอง โดยเฉพาะปัญหาในชุมชน สอง–เห็นศักยภาพและทุนในชุมชน เขารู้จักคน รู้จักภูมิปัญญา และพัฒนาจนกระทั่งกลายเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ชุมชน” รศ.ดร.กาสัก เล่าถึงเรื่องราวในอดีต
เมื่อรู้จักตัวตน ค้นหารากเหง้า สำรวจศึกษาทุนในชุมชนที่รุ่มรวยไปด้วยภูมิปัญญาหลายแขนง ปราชญ์ชุมชนที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทั้งจักสาน ทอผ้า ตีเหล็ก ทำอาหารพื้นบ้าน สิ่งสำคัญของการทำงานคือการ ‘หาเพื่อน’ หรือที่เรียกว่า ‘เครือข่าย’ ไม่ว่าจะหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)
“เมื่อโคกสลุงมีเครือข่ายแล้ว สำคัญที่ชาวบ้านต้องมีคือ รู้เท่าทัน เพราะหากคนในชุมชนตั้งรับไม่ดี บางทีหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม หรือกระทั่งคนให้ทุนโครงการต่างๆ ก็อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานได้เช่นกัน”
ความหมายคือ การทำงานร่วมกับเพื่อนจากภายนอกมากมาย หากชุมชนมองไม่เห็นเป้าหมายของตัวเองที่ชัดเจน ปล่อยให้หน่วยงานภายนอกเข้ามาเสริมโดยยึดถือเอาตัวชี้วัดของตนเป็นหลัก ปลายทางของการทำงานจึงเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี

โคกสลุงรับรู้ถึงความจริงในข้อนี้ นั่นทำให้ชุมชนเริ่มต้นทำแผนยุทธศาสตร์ เพื่อกำหนดภาพร่วมกันว่า อะไรคือเป้าหมายของการพัฒนาชุมชน อะไรคือทุนในชุมชน คนโคกสลุงมีศักยภาพอะไรบ้าง
“ตรงนี้คือจุดสำคัญ คนโคกสลุงมองเห็นทั้งโอกาสและอุปสรรค เขาจึงมองหาว่ามีใครบ้างที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มงานของเขาได้ และโครงการใดบ้างที่หน่วยงานราชการเอาเข้ามา แต่ไม่ได้ไปเติมศักยภาพหรือสอดคล้องกับทิศทางของชุมชน เขาก็กล้าพอที่จะปฏิเสธ เขาค้นหาจุดแข็งและโอกาสอย่างนี้จนสุดท้ายก็ตกผลึกเป็นยุทธศาสตร์ชุมชน และพัฒนามาป็นหลักสูตรการทำแผนยุทธศาสตร์ (strategy) ให้คนอื่นๆ เข้ามาเรียนรู้”
‘สุทรียสนทนา’ ฟังเสียงหัวใจคนในชุมชน
ทิพย์วรรณ ศริพันธุ์ รักษาการผู้อำนวยการสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษานวมินทราชินี โคกสลุง เล่าถึงประสบการณ์ที่เธอได้นำทีมบุคลากรจากสถานีอนามัยกว่า 30 คนเข้ามาเรียนรู้ ‘หลักสูตรสุนทรียสนทนา’ (Dialogue) ณ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยเบิ้ง โคกสลุง โดยมี ประทีป อ่อนสลุง ประธานชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เป็นผู้นำกระบวนการ

“กระบวนการสุนทรียสนทนาก็คือ เล่าเรื่องอดีต ปัจจุบัน ความประทับใจ ความสุข ความทุกข์ที่อยากเล่าให้เพื่อนฟัง ฟังอย่างตั้งใจ สลับกันเล่าเรื่อง ระหว่างนั้นเขาจะเกิดกระบวนการเรียนรู้ เข้าใจถึงการเป็นผู้ฟังและผู้พูด และจะนำไปสู่การปฏิบัติมากขึ้นเมื่อเขาได้ฝึกที่จะฟังเพื่อน”
ก่อนหน้านั้น ทิพวรรณเล่าว่า ในที่ทำงานของเธอมักมีการกระทบกระทั่งกันประปรายผ่านคำพูด สีหน้า น้ำเสียง แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กเพราะมนุษย์ย่อมขัดแย้งกันบ้างเป็นธรรมดา ทว่าปัญหาเล็กๆ เหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นซ้ำๆ ความสัมพันธ์ก็อาจจะถึงจุดแตกหักได้ และส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดทอนลง
การเรียนรู้ที่จะฟังซึ่งกันและกัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน และรักษาความสัมพันธ์ของบุคลากรในองค์กร
“สิ่งที่เราเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงจากหลักสูตรนี้คือ เมื่อก่อนเวลาทำงานเราเคยต่อว่ากันแรงๆ อยากจะใช้ใครก็ใช้เลย ทำร้ายน้ำใจกันบ่อยๆ แต่ตอนนี้เราจะคิดก่อน เพราะหลักสูตรการฟัง (สุนทรียสนทนา) ทำให้เราฝึกที่จะคิดก่อนจะพูดออกไป ใคร่ครวญในสิ่งที่เพื่อนพูด พอได้เรียนรู้และประเมินผลลัพธ์จากการใช้ชีวิตในที่ทำงาน เอ้อ…มันดีขึ้นแฮะ แม้จะยังไม่ดี 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เราเห็นการเปลี่ยนแปลง”
เช่นเดียวกับ รักขณา วงษ์ท้าว ประธานกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ชุมชนบ้านน้ำซับ อำเภอเมืองลพบุรี ที่เรียกว่าจับพลัดจับผลูเข้ามาเรียนรู้หลักสูตรสุนทรียสนทนาที่โคกสลุงผ่านการชักชวนของเพื่อน เธอเล่าว่า
“เราคือกลุ่มสตรีที่ชอบแย่งกันพูด แย่งกันคุย ต่างคนต่างคุยเก่งทั้งนั้น (หัวเราะ) ส่วนตัวเองก็เป็นคนไม่ยอมคน ไม่ฟังใคร พอเอากระบวนการเหล่านี้มาใช้ ทำให้คิดได้ว่าเราต้องฟังคนเยอะๆ เราจึงจะเปลี่ยนแปลงจุดเล็กจุดน้อยได้ เพราะจุดเล็กจุดน้อยนี่แหละคือตัวปัญหา ถ้าเราไม่ฟัง รับรองเลยว่าไปด้วยกันไม่รอด”

ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ รักขณามองว่ามิได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เพราะหน้างานที่เธอต้องประสบอยู่ทุกวันคือภาคสนามที่ท้าทาย ว่าสิ่งที่เรียนรู้มานั้นจะนำมาปฏิบัติได้จริงหรือไม่
“หลังจากได้เข้ามาเรียนรู้ ทำให้เรายอมรับตัวตน จุดอ่อน ข้อผิดพลาดของตัวเอง ช่วงแรกๆ อาจทำได้แค่เรียนรู้ เพราะยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติจริง ทีมงานก็ยังคงแข่งกันพูด อยากจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ไม่อยากจะเรียนรู้ พอเราพาคนกลุ่มนี้มาเข้าหลักสูตรของกลุ่มชุมชนวัฒนธรรมไทยเบิ้ง ทำให้พวกเขาได้ทบทวนตัวเองทุกครั้งว่า ตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ เป้าหมายของเราคืออะไร ระหว่างทางที่เราต้องเจอคืออุปสรรค เราจึงต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน
“ว่ากันตามตรง สิ่งสำคัญที่ช่วยในการทำงานของกลุ่มเราชัดๆ เลยคือ การฟัง การจับประเด็นที่เพื่อนๆ ต้องการจะสื่อสาร และเขาก็ได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ถึงขั้นเอาทักษะการฟัง การจับประเด็นไปใช้ในบ้าน ใช้กับคนในครอบครัวได้”
เมื่อเยาวชนงอกงามและหยั่งราก
“พวกเราทำงานเป็นกลุ่มเยาวชนชื่อว่า ‘กลุ่มเมล็ดข้าวเปลือกไทยเบิ้ง’ ตั้งแต่ยังเล็กๆ พอเราเรียนจบมัธยมไปต่อมหาวิทยาลัย รุ่นน้องในกลุ่มก็จะขาดพี่ๆ คอยดูแล เราเลยคิดว่า ถ้าเรากลับมาทำงานที่บ้าน มันมีประเด็นงานให้คิดให้ทำอยู่แล้ว เยอะด้วย เว้นแต่ว่าเราจะไม่ทำ”
หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยมหิดล ด้านชีววิทยาเชิงอนุรักษ์ ‘มิ้ม’ กัญญาวีร์ อ่อนสลุง และเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอีก 3 คน ตัดสินใจกลับบ้านมาทำงานในชุมชน เพื่อสานต่อกลุ่มเมล็ดข้าวเปลือกไทยเบิ้ง

“เราทุกคนคุยกันว่าอยากทำงานที่นี่ ก็เลยเริ่มคิดโครงการ เขียนโครงการเพื่อไปของบประมาณมาทำงาน เอามาทำกิจกรรมกับเด็กๆ ในชุมชน พอจบโครงการแรกไป มันเหมือนเปิดตัวกลุ่มพวกเราว่า เราจะทำงานที่นี่ ในชุมชนนี้ และเป็นงานที่ช่วยตอบคำถามลุงป้าน้าอาในชุมชนได้ว่า ‘ทำไมไม่ไปทำงานที่อื่น’ เพราะเราทำให้เห็นแล้วว่า เราทำงานได้ ที่นี่มีงานให้ทำ”
กอปรกับโครงการ ‘ผู้นำแห่งอนาคต’ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานกับโคกสลุง กัญญาวี และเพื่อน จึงได้เรียนรู้กระบวนการและเครื่องมือต่างๆ ทั้งจากสถาบันไทยเบิ้งโคกสลุง และทั้งจากมิตรสหายภายนอก
“เราได้เครื่องมือมากมาย ทั้งสุนทรียสนทนา (Dialogue) การคิดกระบวนระบบ (Systems Thinking) และเป็นครั้งแรกที่กลุ่มเมล็ดข้าวเปลือกของเราใช้เครืองมือ ‘ภูเขาน้ำแข็ง (Satir Model) ’ มาถอดหาคุณค่าว่า ลึกๆ แล้วทำไมพวกเราถึงอยากกลับมาทำงานที่บ้านเกิด ลึกๆ แล้วเราตกตะกอนกันได้ว่า นอกเหนือจากการได้กลับบ้านมาดูแลพ่อแม่แล้ว เหตุผลหลักๆ คือ เรามีความสุขที่จะทำ สุขที่จะได้อยู่บ้าน”

เมื่อตั้งหลักได้ชัด กลุ่มเมล็ดข้าวเปลือกไทยเบิ้ง จึงเดินหน้าทำงานอย่างเต็มกำลัง เธอและเพื่อนได้นำวิธีคิดและวิธีการทำงานที่คนในชุมชนได้ถอดออกมาเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ มาใช้ร่วมกับกิจกรรมของเด็กๆ ในชุมชน
“เราพิสูจน์แล้วว่า สามารถเอาหลักสูตรเหล่านี้มาใช้กับเด็กประถมได้ เพราะเด็กวัยนี้ค่อนข้างพูดเยอะ ไม่ฟังกัน เครื่องมืออย่างสุนทรียสนทนา สามารถเอามาทำงานและพัฒนาศักยภาพของเด็กๆ ได้”
อีกตัวอย่างคือ หลักสูตรกระบวนกรชุมชน (Community Facilitators) ที่เธอและเพื่อนได้เรียนรู้แล้วนำมาใช้ในกิจกรรมของเด็กๆ ในชุมชน
“พี่เลี้ยงในกลุ่มเมล็ดข้าวเปลือกจะทำหน้าที่เป็นกระบวนกรนำพาเด็กๆ ในชุมชน มาทำกิจกรรมผ่านการสนทนากัน คุยกัน มีกิจกรรมให้เขาเล่น จากนั้นก็ชวนเด็กๆ คุยว่า กิจกรรมที่ผ่านมามีปัญหาอะไรบ้าง บางคนก็มีตีกัน ร้องไห้ ทะเลาะกัน พี่ๆ ก็จะทำหน้าที่ตั้งคำถามว่า ปัญหามันเกิดจากอะไร ให้เขาได้ถกกัน สรุปว่าเด็กฟังกันมากขึ้น คุยกันได้ ยืนยันเลยว่า ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็สามารถนำหลักสูตรนี้ไปประยุกต์ใช้ได้”
เรียนรู้โลกใหม่
ในฐานะที่เป็นผู้หนึ่งที่ได้เข้ามาสัมผัสเรียนรู้และมีโอกาสร่วมงานกับชุมชนในหลายบทบาท รศ.ดร.กาสัก ได้สรุปหัวใจสำคัญ 4 ข้อ ในการทำงานของชุมชนโคกสลุงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาว่า
หนึ่ง – โคกสลุงเริ่มจากการรู้จักตนเอง จากที่ทุนตนเองมี เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาภูมิสังคมของตน
สอง – วางเป้าหมายชัดเจนในเรื่อง ‘ความสุขบนฐานวัฒนธรรม’
สาม – ค่อยๆ ทำไปทีละขั้น
สี่ – ความสำเร็จในวันนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยคนนอกเป็นหลัก แต่เกิดจากคนในชุมชนเอง ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปฏิเสธความรู้และทรัพยากรต่างๆ จากโลกภายนอก แต่เป็นการไปเรียนรู้จากภายนอกแล้วนำมาประยุกต์ใช้ภายใน
“เราจะเห็นว่าโคกสลุงในอดีตนั้นใช้คนนอกเป็นหลัก แต่วันหนึ่งเขาสามารถพัฒนาศักยภาพจนคนในชุมชนเองก็ทำได้ และส่งต่อจนถึงรุ่นถัดมาคือ กลุ่มเมล็ดข้าวเปลือกไทยเบิ้งที่เป็นเยาวชนในชุมชน สิ่งนี้มีทั้งจุดอ่อนจุดแข็ง เพราะคนในด้วยกัน มักจะไม่ค่อยเชื่อกัน ไม่ค่อยให้กำลังใจกัน เช่นว่า ‘เอ็งก็ชาวบ้านเหมือนกู จะไปรู้อะไรมาก’
“แต่ที่โคกสลุงนั้นเขาพัฒนาขึ้นมาจนกระทั่งได้รับการยอมรับ พอคนในเริ่มให้การยอมรับ จึงง่ายในการทำงาน เพราะเขารู้จักพื้นที่ รู้จักคน รู้จักภูมิสังคม คนนอกนานๆ มาที สามเดือนมาครั้ง หรือปีละครั้ง โอกาสที่จะมารู้จัก ชวนคิดชวนคุยก็ยาก แต่วันนี้โคกสลุงสามารถพัฒนาศักยภาพคนในจนเป็นที่ยอมรับได้ นี่คือสิ่งที่ควรค่าแก่การเรียนรู้” นี่คือบทสรุปที่ รศ.ดร.กาสัก ค้นพบ
สามารถสมัครเรียนหลักสูตรผ่านการไปเรียนในชุมชนโคกสลุงได้ที่ https://thaibuengkhoksalung.com/
หรือสมัครเรียนออนไลน์ได้ที่ gennext.tu.ac.th