ปิดหู ปิดตา ปิดปากเด็ก: มายาคติเรื่องเพศที่ครอบงำครูและส่งผลต่อนักเรียนไทย

ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล

คุณคิดว่าเพดานสูงสุดของการพูดเรื่องเพศในห้องเรียนอยู่ที่ตรงไหน?

ว่ากันตามตรง เมื่อพูดถึงเรื่องเพศหรือเนื้อหาที่อยู่ใต้สะดือลงไป ครูมักปิดหูปิดตาทำเหมือนเนื้อหาดังกล่าวเป็นเพียงลมพัดผ่าน ด้วยความเชื่อส่วนตัวว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องไม่สมควรและน่าอับอายหากจะหยิบยกขึ้นมาพูดในที่แจ้ง

การพูดถึงเรื่องเพศในสังคมไทย มักถูกขีดเส้นให้เป็นเรื่องต้องห้ามและไม่เหมาะสมที่จะพูดในที่สาธารณะ หลายครั้งถูกมองเป็นเรื่อง ‘สกปรก’ ‘หยาบคาย’ และในเวลาเดียวกันก็ถูกจํากัดให้เป็นเรื่องของ ‘ผู้ใหญ่’ ที่เด็กจะได้เรียนรู้เองเมื่อถึงเวลาเท่านั้น แต่กลับไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจนว่าเป็นเวลาใดที่เด็กจะมีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องเพศ เพราะผู้ใหญ่ยังอาจรู้สึกกระอักกระอ่วน ขวยเขิน และกลัวที่จะพูดถึงเรื่องเพศอย่างจริงจัง แม้จะเป็นการคุยเรื่องเพศในเชิงการให้ความรู้ก็ตาม

และการที่สังคมไทยไม่กล้าพูดเรื่องเพศกันอย่างตรงไปตรงมานี่เอง ทำให้เกิดปัญหาในหลายมิติตามมา

ดร.อัครา เมธาสุข

นี่จึงเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยในหัวข้อ ‘ภายใต้ระบอบแห่งภาพลักษณ์: มายาคติทางเพศที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและทัศนคติของนักเรียนในพื้นที่การศึกษาไทย’ โดย ดร.นรุตม์ ศุภวรรธนะกุล และ ดร.อัครา เมธาสุข แห่งคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้ชุดโครงการวิจัยการสำรวจและรื้อถอนมายาคติทางการศึกษาในสังคมไทย

“เราเรียนจบด้านรัฐศาสตร์ ส่วนตัวจึงมีความสนใจเรื่องเพศในมิติสังคม เช่น ความเป็นชาย ความเป็นหญิง ความหลากหลายทางเพศ ส่วนอาจารย์อัครามีความสนใจด้านจิตวิทยา เรื่องเพศในมิติต้องห้าม แม้ว่าเราสองคนมีความสนใจในเรื่องเพศที่ต่างมุมมองกัน แต่ประเด็นหลักคือไม่ว่าจะมิติไหน เรื่องเพศก็มักเป็นเรื่องที่ถูกปิดกั้นในสังคมไทย เราจึงพยายามนำเรื่องเพศทั้งสองมิติมาศึกษา” ดร.นรุตม์ อธิบายถึงจุดเริ่มต้นงานวิจัย 

ดร.นรุตม์ ศุภวรรธนะกุล

เมื่อย้อนไปในวัยประถม-มัธยม จะพบว่าการสอนเรื่องเพศมักมีเนื้อหาที่ค่อนข้างแคบ เช่น ทำอย่างไรถึงจะไม่ตั้งท้อง หรือการรู้จักพัฒนาการของอวัยวะร่างกายตนเอง ทว่าไม่เคยเห็นมิติที่ต่างออกไป เช่น ความหลากหลายของความเป็นมนุษย์ในบุคคลที่มีนิยามทางเพศที่ต่างออกไป สิ่งนี้จึงทำให้บุคคลที่มีความหลากหลายถูกตีตราว่าเป็นคนโรคจิตวิปริต 

ดร.นรุตม์ อธิบายถึงขอบเขตงานวิจัยชิ้นนี้ไว้ว่า ต้องการศึกษามายาคติที่มีผลต่อความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องเพศในสถานศึกษา รวมถึงศึกษาทัศนคติของครูกับนักเรียนต่อเรื่องเพศ การที่ครูและนักเรียนมีความเชื่อว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งสกปรกส่งผลต่อตัวเขาอย่างไร เช่น ท่าทีหรือการปฏิบัติของครูต่อเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ เมื่อเด็กมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเพศ

“งานวิจัยนี้เราใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึกกับบุคลากรในโรงเรียน เพื่อวิเคราะห์และสำรวจว่าครูและนักเรียนมีมุมมองความเชื่อในเรื่องเพศอย่างไร โดยสำรวจใน 2 มิติเป็นหลัก คือมิติภายนอกและภายใน มิติภายนอกหมายถึง เพศในมิติของร่างกาย เพศสัมพันธ์ มิติภายในหมายถึง เพศสภาพ ความเป็นชาย ความเป็นหญิง รวมไปถึงเรื่องรสนิยมทางเพศซึ่งเป็นตัวตนภายใน”

ธงที่ตั้งใจปักให้เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายในงานวิจัยชิ้นนี้ คือ ทัศนคติและความเชื่อเรื่องเพศที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของครูและนักเรียนอย่างไร อีกทั้งก่อให้เกิดความรู้สึกใดบ้าง เช่น ความสุข ความทุกข์ และความกลัว 

“หนึ่งในความรู้สึกที่เราสองคนหยิบขึ้นมาศึกษาคือ ความกลัวของผู้ที่พยายามรักษาอำนาจความเชื่อในสถานศึกษาเอาไว้ ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่พบคือ ผู้ใหญ่ (ครู) มักใช้ความกลัวในการสร้างการรับรู้เรื่องเพศ โดยนำไปสู่การกลัวในรูปแบบอื่น เช่น การใช้อำนาจกับเด็ก ผู้ใหญ่เลือกที่จะประณาม ด่าทอ ประจาน เด็กที่สนใจเรื่องเพศหรือไม่ทำตามความคาดหวังของผู้ใหญ่ จนท้ายที่สุดทำให้เด็กต้องรู้สึกแย่กับตัวเอง” ดร.นรุตม์ ย้ำ

เมื่อมีความกลัวเกิดขึ้นในสถานศึกษา ทำให้สังคมไม่กล้าพูดเรื่องเพศ ไม่มีการให้ข้อมูลที่เปิดกว้าง ไม่มีการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา หล่อเลี้ยงวัฏจักรของการ ‘ไม่รู้’ และเข้าใจผิดในเรื่องเพศต่อไปไม่สิ้นสุด 

ทางด้าน ดร.อัครา กล่าวเสริมว่า จากการเก็บข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเนื้อหาในการสอนเรื่องเพศที่พบในสถานศึกษา พบเพียงแค่ในวิชาสุขศึกษาและหน้าที่พลเมืองเท่านั้น โดยครูและนักเรียนกล่าวตรงกันว่าวิชาสุขศึกษามักเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านร่างกายและกระโดดข้ามไปสรุปเรื่องการป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์ แต่เนื้อหาในวิชาเหล่านี้กลับไม่ได้ลงรายละเอียดเท่าที่ควรจะเป็นในเรื่องเหตุผลของความเสี่ยงต่างๆ และสิทธิบนร่างกายของนักเรียน ครูมักจะเน้นย้ำและลงท้ายกับเด็กว่า “อย่ามีเพศสัมพันธ์” โดยอาจละเลยประเด็นที่ว่าปัญหาที่สังคมกำลังเผชิญอาจไม่ได้มีต้นตอมาจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่มาจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ ‘ไม่ปลอดภัย’ หรือ ‘ไม่ได้ป้องกัน’ นอกจากนี้ เนื้อหาเรื่องสรีรวิทยาของผู้มีความหลากหลายทางเพศ สิทธิ และการปฏิบัติตัวต่อผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศกลับไม่ปรากฏให้เห็นในแบบเรียนเลย

“ในวิชาหน้าที่พลเมืองครูจะบอกได้แค่ว่า หน้าที่ของเพศชายคืออะไร เพศหญิงคืออะไร โดยไม่กล่าวถึงการมีตัวตนของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ นี่คือการเซ็นเซอร์ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศออกจากแบบเรียน ขณะเดียวกันก็ตีกรอบว่าเพศชายและหญิงต้องมีวิถีชีวิตแบบนี้ๆ เท่านั้น โดยที่นักเรียนจะไม่ได้มองเห็นเฉดอื่นๆ ที่ต่างออกไป” ดร.อัครา กล่าว

เช่นเดียวกับ ดร.นรุตม์ ที่เล่าถึงข้อค้นพบบางประการจากการศึกษาวิจัย โดยยกตัวอย่างผลกระทบจากมายาคติเรื่องเพศในสถานศึกษาที่ผิดเพี้ยนไว้หลายประเด็น อาทิ การเชื่อว่าการพูดเรื่องเพศในห้องเรียนจะเป็นการส่งเสริมให้เด็กเลียนแบบ หรือถ้ายิ่งสอนเรื่องเพศ จะยิ่งทำให้เด็กทำตาม และก่อให้เกิดปัญหาคุณแม่วัยใสหรือท้องไม่พร้อมมากขึ้น 

“เราตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ครูมักจะกลัวและไม่กล้าพูดเรื่องเพศ เพราะเขากลัวเด็กเลียนแบบ พอครูกลัวก็เลยไม่รู้จะสื่อสารหรือจัดการอย่างไร ไม่รู้จะบอกให้เด็กเข้าใจอย่างไร ทางเดียวที่จะควบคุมพฤติกรรมเด็กได้ก็คือการขู่ แต่จะดีกว่าไหมถ้าครูทำให้เด็กไม่กลัวและเข้าใจเนื้อหาที่ถูกต้อง ไม่ผลักไสความรู้ออกจากเด็กด้วยมายาคติเรื่องเพศที่กำลังครอบงำครูอยู่

“บทบาทของสถานที่ศึกษาควรเป็นพื้นที่ที่สร้างการเรียนรู้และสร้างการพัฒนาเด็ก แต่ทำไมครูถึงทำให้สถานที่แห่งนี้ปิดกั้นความเข้าใจเรื่องเพศ ทั้งๆ ที่เด็กควรจะรู้ในสิ่งที่เขาควรรู้ด้วยซ้ำ การที่ครูปิดกั้นเอาไว้ ไม่กล้าตอบคำถามต่างๆ ทำให้มันเป็นเรื่องน่าอาย สกปรก เมื่อพ่อแม่หรือครูปฏิเสธจะให้คำตอบพวกเขา สุดท้ายเด็กจึงต้องออกไปหาคำตอบเอง แบบนี้มันเสี่ยงมากกว่าไหม”

ดร.นรุตม์ กล่าวว่า หากความฝันสูงสุดของครูคือ การเห็นภาพเด็กไทยเป็นพลเมืองที่ดี กล้าคิด กล้าพูด ดังนั้นครูเองก็ต้องไม่ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เด็กเกิดความอับอาย ด่าทอนักเรียนหญิงที่ไว้ผมยาวว่าเป็นคนไม่ดี หรือการเลือกที่จะปิดหูปิดปาก ไม่ให้เด็กถามหรือพูดในประเด็นเรื่องเพศ 

ด้วยข้อเท็จจริงที่พบว่า หลักสูตรและครูส่วนใหญ่ในโรงเรียนไม่กล้านำเสนอประเด็นเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ ดร.อัครา มองว่า สถาบันการศึกษาในปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำที่ดีในการสร้างการเรียนรู้ และการที่ครูและหลักสูตรปิดกั้นตัวเองเช่นนี้จะทำให้โรงเรียนถูกลดบทบาทลงจนกลายเป็นผู้ตามที่อาจไม่มีความสำคัญอีกต่อไปในด้านการเรียนรู้ในสายตาของเยาวชนในอนาคต เพราะเยาวชนปัจจุบันมีโซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ด้วยตนเอง อีกทั้งพื้นที่ในโซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ตยังช่วยเติมเต็มและตอบโจทย์ในสิ่งที่เด็กอยากรู้ได้แทบทุกประเด็น

“โลกโซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ตทำให้เขารู้จักตัวเอง รู้จักเพื่อน รู้จักความหลากหลายของมนุษย์ ข้อเสนอแนะในงานวิจัยชิ้นนี้จึงไม่ใช่การทวงคืนอำนาจการเรียนรู้เรื่องเพศในโรงเรียนให้กลับมาเป็นสิทธิขาดแก่ครู แต่มองถึงความสำคัญของการเตรียมเยาวชนให้สามารถเข้าถึงและรู้เท่าทันสื่อ รวมถึงเรื่องความสร้างสรรค์และความรับผิดชอบของผู้ผลิตสื่อด้วย เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะมีความพร้อมในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตหรือสามารถศึกษาเรื่องทุกเรื่องได้ด้วยตัวเอง ต่อไปครูและผู้ปกครองจะไม่สามารถปิดหูปิดตาหรือห้ามนักเรียนไม่ให้พบเจอสื่อเรื่องเพศได้อีกแล้ว ในขณะที่การเสพสื่อด้วยตัวเองต้องใช้ทักษะในการคิดและตัดสินใจด้วยเหตุและผล แต่ตอนนี้ในโรงเรียนยังไม่มีการฝึกนักเรียนให้มีการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลอย่างจริงจัง” ดร.อัครา กล่าว ก่อนจะเสนอแนะว่า

“ยังมีนักเรียนหลายคนที่มีข้อจำกัดอยู่มาก เมื่อเขากลับบ้านไป เขาเจอละครที่มีฉากตบตี มีเนื้อหาข่มขืนที่ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องสนุกตื่นเต้น ถ้าโรงเรียนอุดช่องโหว่ตรงนี้ได้ด้วยการเสริมสร้างความรู้ ฝึกคิดอย่างเป็นเหตุผล และทำให้เขาเข้าใจบทบาทของตัวเองและสิทธิหน้าที่ของผู้อื่น โดยมีครูเป็นผู้คอยสนับสนุน ผมว่ามันน่าจะดีกว่านี้ แทนที่จะปิดกั้น ลองเปลี่ยนใหม่ เอาเวลา 8 ชั่วโมงที่เด็กอยู่กับครูที่โรงเรียนมาใช้คุยกันเรื่องเหตุเรื่องผลให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียนมากที่สุดจะดีกว่า”

บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย ‘ภายใต้ระบอบแห่งภาพลักษณ์: มายาคติทางเพศที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและทัศนคติของนักเรียนในพื้นที่การศึกษาไทย’ โครงการวิจัยการสำรวจและรื้อถอนมายาคติทางการศึกษาในสังคมไทย

ติดตามการนำเสนองานวิจัยทั้งหมดได้ในเวทีเสวนาวิชาการ ‘ก่อการวิจัย: ถอดสลักโลกการศึกษา ถอดบทเรียนการพัฒนาชุมชน’ ในวันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้อง 202 ชั้น 2 อาคารสิริวิทยลักษณ์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หรือติดตาม Live ได้ที่เพจโครงการผู้นำแห่งอนาคต, ก่อการครู, WAY MAGAZINE

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ