ภาพ : ณัฐชานันท์ กล้าหาญ
ทำไมการตีจึงเป็นเรื่องปกติ
ทั้งที่ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา พ.ศ. 2548 ข้อ 5 กำหนดการลงโทษไว้ 4 แบบเท่านั้น คือ 1.ว่ากล่าวตักเตือน 2.ทำทัณฑ์บน 3.ตัดคะแนนประพฤติ และ 4.ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับพฤติกรรม
ย้ำซ้ำอีกครั้งด้วยข้อ 6 ว่า ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือกลั่นแกล้ง ลงโทษด้วยความโกรธหรือด้วยความพยาบาท
“ครูบางคนก็เชื่อจริงๆ ว่า ถ้าไม่ตี ก็ไม่รู้จะใช้วิธีไหนที่ดีกว่า”
เป็นหนึ่งในข้อค้นพบจากการสัมภาษณ์เพื่อเก็บข้อมูลใน โครงการวิจัย “สำรวจวาทกรรมเกี่ยวกับการจัดการในชั้นเรียนและการลงโทษของครูระดับชั้นมัธยมศึกษา” อ.กานน คุมพ์ประพันธ์ และ อ.อุฬาชา เหล่าชัย ภายใต้ชุดโครงการวิจัยการสำรวจและรื้อถอนมายาคติทางการศึกษาในสังคมไทย คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“เราพอจะรู้มาบ้างว่า เหตุผลของครูที่ตีหรือใช้ความรุนแรงกับเด็ก ก็คือ ‘เพราะหวังดี’ แต่ครูที่ไม่ตีเด็กก็หวังดีกับเด็กเช่นเดียวกัน”
ทั้ง อ.กานน และ อ.อุฬาชา จึงอยากจะเข้าใจว่า ภายใต้ความหวังดีนั้น ครูคิดอย่างไร ทำไมจึงเลือกใช้วิธีตี หรือใช้ความรุนแรงในการจัดการชั้นเรียน และทำไมวิธีคิดแบบนี้จึงยังคงอยู่

ความรุนแรงที่ซับซ้อนใน ‘จักรวาลโรงเรียน’
ทำไมครูหวังให้เด็ก ‘ดี’ จากการตีหรือจากการใช้ความรุนแรงอื่นๆ ทั้งการกระทำ คำพูด ฯลฯ ใดๆ ก็ตามที่ทำให้เด็กอาย เช่น ตัดผม ประจานหน้าเสาธง กระทั่งโพสต์ผ่านโลกออนไลน์
เป็นคำถามตั้งต้นของงานวิจัยชิ้นนี้จาก อ.อุฬาชา ก่อนจะพบว่า การใช้ความรุนแรงในการจัดการชั้นเรียนมีหลายแบบและซับซ้อนเกินกว่าจะมองว่า ขาวเป็นขาว ดำเป็นดำ ถ้าจะเทาก็มีหลายเฉดเหลือเกิน
การตีหรือใช้กำลัง คือ การใช้ความรุนแรงทางตรง แต่ความรุนแรงทางตรงจะอยู่โดดๆ ไม่ได้ เหมือนร่างกายที่ขยับเองไม่ได้ ถ้าปราศจากสมองคอยสั่งการ
“มันอยู่ได้เพราะความรุนแรงเชิงโครงสร้างและเชิงวัฒนธรรมที่คอยซัพพอร์ตอยู่ ยกตัวอย่าง ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ครูคนหนึ่งไม่เห็นด้วยการตรวจผมเด็กๆ และการลงโทษทุกวัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ถ้าครูไม่ทำก็จะมีผลต่อการประเมิน ครูจึงไม่กล้างัดข้อกับผู้บริหาร” ทั้งหมดถูกกำหนดด้วยระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ต่างๆ

ส่วนความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมจะลงไปทำงานกับ ‘สำนึก’ ซึ่งหลายครั้งศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎระเบียบ
“กฏระเบียบ และการลงโทษยังมีอยู่ได้ เพราะสังคมมีความเชื่อว่าเด็กดีต้องตั้งใจเรียน แต่งตัวตามระเบียบ ไม่เถียง ไม่ออกนอกลู่นอกทาง อ่อนน้อม รู้ที่ทางว่าตัวเองต้องอยู่ตรงไหน เมื่อมีความเชื่อแบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่ชอบธรรมแล้วที่ครูจะต้องทำหน้าที่รักษากฏระเบียบอย่างเคร่งครัด และใช้ทุกหนทางรวมถึงการตีเพื่ออบรมสั่งสอนให้เด็กเป็นแบบที่ว่า” อ.กานน อธิบาย
อ.อุฬาชา ขยายความเพิ่มเติมว่า การที่เด็กจะต้องตั้งใจเรียน อยู่ในกฎระเบียบและอ่อนน้อม แต่นัยยะของความรุนแรงเชิงโครงสร้างและเชิงวัฒนธรรม คือ การจำกัดศักยภาพ หรือโอกาสในชีวิตของคน
“มันจึงควรตั้งคำถามว่า การบ่มเพาะนิสัยตั้งใจเรียนแบบที่ เงียบ ไม่เถียง ไม่ถาม คล้อยตามตลอดเนี่ย มันไปจำกัดความเป็นไปได้อื่นๆ ที่ทำให้เขาพัฒนาหรือเปล่า”
อ.กานน ยังชวนตั้งคำถามต่อความเป็นเด็กดีเช่นนี้ว่า มันคือการสอนให้เด็กๆ รู้ว่าในจักรวาลโรงเรียน “เราควรจะอยู่ตรงไหนและอยู่อย่างไร”
และคนตัวเล็กสุดในโรงเรียน ก็เรียนรู้ว่าไม่ควรตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจ หรือไม่รู้ว่าจะตั้งคำถามไปทำไม
“บางอย่างเราทำมาจนเป็นความเคยชินและเป็นเรื่องปกติ โรงเรียนไทยให้ความสำคัญกับการตรวจเล็บ ตรวจผม ตรวจระเบียบ โดยไม่ตั้งคำถามว่าครูจำเป็นต้องเอาเวลาและพลังงานไปใช้ในเรื่องนี้ขนาดนั้นไหม เพื่ออะไร เด็กที่อาจจะไม่พอใจ ก็ไม่รู้ว่าจะตั้งคำถามหรือแสดงความคิดเห็นของตัวเองไปทำไม เพราะคำตอบที่ได้คือใครๆ เขาก็ทำกัน หรือถ้าไม่พอใจก็ไปเรียนที่อื่น เด็กบางคนเองก็เชื่อว่าโลกมันคงเป็นแบบนี้แหละ มันไม่มีวิธีการอื่น มันเป็นการปลูกฝังให้ไม่ตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจ”

เด็กดีในวันนั้น คือครูดุในวันนี้
สมมติฐานหนึ่งที่ อ.อุฬาชา และ อ.กานน ค้นพบจากการสัมภาษณ์ว่า ‘ผิด’ คือ ครูรุ่นใหม่ไม่เชื่อในการใช้ความรุนแรงในการจัดการชั้นเรียน
เพราะครูรุ่นใหม่เรียนรู้วิธีการจัดการเรียนชั้นเรียนจากสถาบันผลิตครู และประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งเน้นไปที่ ‘ผลลัพธ์’ คือประสิทธิภาพของการได้รับความรู้ของเด็ก แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นตัวอย่างของ ‘วิธีการ’ อื่นๆ ที่นอกจากการดุ หรือทำให้เด็กกลัว
“ไปคุยกับครูคนหนึ่งที่เปลี่ยนจากครูดุมาเป็นไม่ดุ เขาเชื่อว่าครูที่ดุมันดี เห็นตัวอย่างจากครูรอบข้าง ครูที่เคยสอนมา นั่นเพราะว่าเขาไม่เคยเห็นตัวอย่างอื่นๆ ก็เลยเชื่อว่า การสอนด้วยความคาดหวังต่อตัวเด็กสูง แล้วต้องดุเพื่อให้ไปสู่ความคาดหวังนั้นเนี่ย มันคือทางเดียวของครูที่ดี” อ.กานน ยกตัวอย่าง
ครูกลุ่มนี้เชื่อมากๆ ว่า เขาต้องแบกรับภาระในการดูแลเยาวชนรุ่นใหม่ทั้งหมด จึงไม่แปลกที่จะเหนื่อย เครียด และลงเอยด้วยการตี
“มันง่ายที่สุด เห็นผลทันที ครูหลายคนที่ไปสัมภาษณ์ก็คิดว่าการตีหรือใช้ความรุนแรงมันไม่ได้ผลในระยะยาวหรอก แต่มันสามารถใช้คุมห้องเรียนได้ในขณะนั้น และที่สำคัญกว่านั้น ไม่มีใครเลยที่จะบอกว่ามีความสุข แม้แต่คนเดียวก็ไม่มี” อ.กานน หมายความทั้งครูและเด็ก
มันจึงเป็นระบบที่ทุกคนเป็นทุกข์
“ครูคนหนึ่งบอกว่าเขาทำตามหน้าที่ เหมือนเป็นหุ่นยนต์ที่โดนป้อนโปรแกรมชีวิตว่า การตีคือสิ่งที่ต้องทำ แต่ข้างในมันไม่มีคุณค่าอะไรเลย”

อ.อุฬาชา เสริม อ.กานน ต่อว่า ความรู้สึกที่ถูกป้อนคำสั่งนี้ก็ถูกส่งต่อไปยังเด็กเช่นกัน ความเป็นไปได้ที่เด็กจะกล้าคิดกล้าทำจึงถูกปิด เพราะสมองถูกใส่ข้อมูลมาตลอดว่า มันไม่มีทางเลือก ทำตามคำสั่งแล้วจะปลอดภัย เพราะครูคือผู้ที่ถูกต้องตลอดกาล – อำนาจจึงไม่อยู่ที่นักเรียน
แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ครูจำนวนไม่น้อยได้ดีจากระบบนี้ ส่วนหนึ่งเพราะครูในวันนี้คือ ‘เด็กดี’ ของวันก่อน
“ครูส่วนใหญ่เป็นเด็กดีมาก่อน แล้วเขาก็รู้สึกว่า ฉันมาเป็นครู แล้วตอนนี้ก็มีชีวิตที่ดี why not? ทำไมจะไม่ส่งต่อความเชื่อนี้ให้คนรุ่นต่อไปเป็นเด็กดีล่ะ”
ความเหลื่อมล้ำหล่อเลี้ยงความรุนแรง
การที่มีครูจำนวนหนึ่งได้ดีจากระบบนี้ ความคิด ‘ดีได้เพราะไม้เรียว’ จึงยืนหนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง
“มันเป็นความเหลื่อมล้ำเลย ถ้าถอยออกมา เราจะเห็นว่าระบบมันคือตัวหล่อเลี้ยงความเหลื่อมล้ำ และความไม่เท่าเทียมกันในสังคมให้มันอยู่ต่อไป เช่น การที่เรายอมรับให้ตัวเองโดนกระทำรุนแรงได้ เราจะโตมาเป็นคนแบบไหน เป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง ยอมทำตามคำสั่งผู้นำง่ายๆ โดยไม่ตั้งคำถาม ยอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อส่วนรวม ซึ่งส่วนรวมคือใครก็ไม่รู้ แต่เราก็ต้องเสียสละ โรงเรียนเข้ามาช่วยตอกย้ำภาพนี้ มันก็เลยยังอยู่ วนไปวนมาอย่างนี้” อ.กานน อธิบายในมุมอำนาจ
แต่ในขณะเดียวกันในมุมเศรษฐกิจสังคม ความเหลื่อมล้ำก็บีบให้ทุกคนต้อง เล่นตามกติกาเพื่อเขยิบฐานะตัวเอง
“กติกา คือ คุณต้องเป็นเด็กดี ต้องเรียนให้ดี ต้องอ่อนน้อม คุณต้องเล่นตามนี้ ถึงจะไปต่อในชั้นที่สูงขึ้นได้ ซึ่งครูเป็นคนที่เล่นตามกติกาแล้วสำเร็จ” มรดกของเด็กดีจึงส่งต่อมาให้เด็กๆ จนถึงรุ่นนี้ ในความเห็นของ อ.อุฬาชา
ให้มันจบที่รุ่นเรา
เมื่อแผลถูกกดทับมาเรื่อยๆ จากระบบที่ไม่มีใครมีความสุข สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ อาการเรื้อรังและร้ายแรง จนครูและเด็กจำนวนมากกล้าลุกขึ้นมาตัดสิ่งที่คิดว่าเป็น ‘เนื้อร้าย’ ออกไป
แต่ถ้ายังทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องส่งต่อ และ #ให้มันจบที่รุ่นเรา
“รัฐไม่สามารถผูกขาดความจริงได้เหมือนเมื่อก่อน และการสร้างความจริงใหม่ๆ ช่วยให้เราตั้งคำถาม ให้เห็นอะไรมากขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องนี้ พอเราสงสัย วิจัย ลงไปหาคำตอบ เราก็พบว่า จริงๆ แล้วครูก็เป็นเหยื่อโดยที่เขาเองอาจไม่รู้ตัว และเขาก็ทุกข์ งานวิจัยชิ้นนี้พยายามทำให้เราเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน” อ.กานน เพิ่มเติม

มันจึงนำไปสู่ข้อค้นพบของงานวิจัยชิ้นนี้ว่า วาทกรรมทั้งหมดนี้ แก้ที่การศึกษาอย่างเดียวไม่ได้
“ถึงกฏจะเปลี่ยน แต่คนไม่เปลี่ยนทั้งผู้บริหาร ครู นักเรียน มันก็จะยังเป็นอย่างนี้ต่อไป”
เช่นนั้น ระบบการจัดการห้องเรียน การลงโทษที่รุนแรงแบบต่างๆ มันจะจบที่รุ่นเราได้ไหม
“ยากมากครับ อาจจะไม่มีทางเลย” อ.กานน ตอบทันที
“ที่บอกว่า รอคนรุ่นเก่าตายไป มันไม่ใช่ อย่างที่บอก ครูรุ่นใหม่ๆ เขาก็ยังรับอุดมการณ์เดิมๆ อยู่ มันต้องช่วยกัน Educate กันไปเรื่อยๆ ตั้งคำถามกันไปเรื่อยๆ มากกว่า” อ.อุฬาชา ทิ้งท้าย
………..
บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย ‘สำรวจวาทกรรมเกี่ยวกับการจัดการในชั้นเรียนและการลงโทษของครูระดับชั้นมัธยมศึกษา’ หนึ่งในชุด ‘โครงการวิจัยการสำรวจและรื้อถอนมายาคติทางการศึกษาในสังคมไทย’
ติดตามการนำเสนองานวิจัยทั้งหมดได้ในเวทีเสวนาวิชาการ ‘ก่อการวิจัย: ถอดสลักโลกการศึกษา ถอดบทเรียนการพัฒนาชุมชน’ ในวันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้อง 202 ชั้น 2 อาคารสิริวิทยลักษณ์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สามารถลงทะเบียนได้ที่หน้างาน หรือติดตาม Live ได้ที่เพจ ก่อการครู, โครงการผู้นำแห่งอนาคต Leadership for the Future way magazine