ช่วงเที่ยงของวันอาทิตย์ บริเวณศาลากลางบ้าน ชุมชนดอนหญ้านาง 1 จังหวัดขอนแก่น บรรยากาศในวันนั้นคึกคัก มอเตอร์ไซค์เรียงรายจอดรอลูกหลานอยู่ใต้ร่มไม้ เดินเลยไปไม่มาก เด็กๆ แต่งกายในชุดไปรเวท ยืนเรียงแถวรอวัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ แล้วจึงเข้าไปนั่งล้อมวงรอในศาลากลางบ้าน เสียงทักทายหยอกล้อดังเจื้อยแจ้วภายใต้หน้ากากอนามัยหลายสีสัน พวกเขาไม่ได้เจอกันนานแล้ว นานกว่าปิดเทอมทุกครั้งที่ผ่านมา วิชาที่กำลังจะได้เรียนจึงพิเศษกว่าที่เคย

‘สิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์’ คือหัวข้อตั้งต้นที่พวกเขาจะได้มาเรียนกันในวันนี้
“เรามองว่าเรื่องสิทธิถูกพูดในโรงเรียนอย่างผิวเผินมาก และมักถูกพูดในตัวอักษรที่เข้าใจยาก จับต้องไม่ได้เลย เราอยากทำเรื่องสิทธิที่เป็นนามธรรมให้สนุก และเข้าถึงได้”
แม้เป็นครูก็ใช่ว่าจะรู้ทุกเรื่อง ครูสัญญาจึงใช้โอกาสนี้ ชวนเพื่อนๆ จากศูนย์สิทธิมนุษยชนภาคตะวันออก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มาดีไซน์กิจกรรมเรื่องสิทธิฯ อย่างไรให้สนุก เข้าใจได้ ไม่ไกลตัว และติดเนื้อติดตัวเด็กๆ ในการเรียนรู้ที่จะไม่ละเมิดและปกป้องสิทธิความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
กิจกรรมถูกออกแบบเป็นสองส่วน ผ่านการย่อสังคมขนาดใหญ่เป็นกระบวนการเรียนรู้คือ หนึ่ง-การใช้คำศัพท์มาอธิบายความหมายของสิทธิมนุษยชน เช่น อากาศ บ้าน การศึกษา อาหาร คำไหน ใช่หรือไม่ใช่สิทธิมนุษยชน
“คำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นั้นยากมาก แม้แต่กับผู้ใหญ่เองก็ตาม เราจึงชวนเด็กๆ มาเรียนรู้ผ่านการเอาคำว่าสิทธิมนุษยชนมาตีความ เช่น อากาศที่ดี รู้ไหมว่ามันคือสิทธิมนุษยชน ซึ่งไม่มีใครรู้เลย เราก็ยกตัวอย่างให้เห็นว่า PM2.5 มันคืออากาศที่ไม่ดี แต่เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีสิทธิที่จะได้รับอากาศที่ดีนะ”
ไผ่ – จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ยกตัวอย่างกิจกรรมว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่เด็กๆ ก็ถึงบางอ้อผ่านกระบวนการที่ไม่ซับซ้อน
ส่วนที่สอง – ว่าด้วยเรื่องอาชีพและชนชั้นในสังคมไทย ผ่านกิจกรรมบทบาทสมมุติ (role playing) โดยเด็กๆ จะเป็นคนเลือกอาชีพให้เพื่อน เช่น นายกรัฐมนตรี พ่อค้าแม่ค้า โสเภณี คนเก็บขยะ ดารานักแสดง เป็นต้น จากนั้น ภาพจำลองของสังคมขนาดย่อมและการปฏิบัติต่อกันจึงปรากฏชัด สุดท้ายแล้ว จึงชวนเด็กๆ ถอดบทบาทนั้นออกแล้วมองไปยังความเป็นมนุษย์ของกันและกัน
ด้วยความตั้งใจของไผ่และทีมงาน ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ระบบการศึกษาไทยไม่เคยสอนเรื่องสิทธิมนุษยชนเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้าย หลายครั้งที่ครูคือตัวการสำคัญของการกลั่นแกล้งในโรงเรียน (bully) และเมื่อเด็กๆ ไม่ถูกปลูกฝังวิธีคิด ความรู้ ความเข้าใจเรื่องสิทธิ ปลายทางคือการปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยการละเมิด ไม่เคารพ และไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
“ปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในสังคมเกิดขึ้นเพราะคนไม่เข้าใจว่า เรามีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ หรือแค่การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องได้รับการคุ้มครองนะ เราไม่อยากทำให้เป็นเพียงหลักการสวยหรู เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำให้เกิดขึ้นจริง โดยการสร้างความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของสิทธิมนุษยชน” ไผ่กล่าวหนักแน่น
“เราเห็นว่า ครูในระบบอย่างเราๆ ถูกทำให้เชื่อว่า ต้องรอเจ้านาย ต้องรอเบื้องบนมานานเหลือเกิน ทั้งที่จริงๆ เรามีศักยภาพและอำนาจที่จะออกแบบการเรียนรู้ให้ตัวเอง ให้นักเรียนได้นะ เราทำได้”
ครูสัญญา มัครินทร์ หรือที่รู้จักกันในนามครูสอญอในตำนานแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย จังหวัดขอนแก่น เล่าถึงความรู้สึกต่อการจัดกิจกรรม ‘รถพุ่มพวงชวนเรียนรู้’ เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทว่ายังไม่ทันได้พูดคุยสืบสาวราวเรื่อง ฝนห่าใหญ่ที่พลันเทลงมา ก่อนครูสัญญาจะเอ่ยปากชักชวนว่า
“พรุ่งนี้เช้ามาเจอกันที่โรงเรียนนะครับ ผมอยากชวนหมู่พวกมาคุยด้วย”
รถพุ่มพวงคืออะไร
07.00 น. ในเช้าวันจันทร์ โรงเรียนที่กำลังปิดเทอมไม่เงียบเหงาเท่าที่คิด คุณครูหลายท่านเดินทางมาจับจองพื้นที่โรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัยเพื่อนั่งทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนครูสัญญานั้นกำลังง่วนโฮมรูมผ่าน ZOOM กับเด็กๆ
บทสนทนาไม่มีอะไรมากไปกว่าการทักทายตามประสา ถามไถ่สารทุกข์และความเป็นอยู่ ก่อนครูสัญญาจะชวนเด็กๆ สะท้อนการเรียนรู้ของเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
“ขวัญ เอ็งเล่าให้เพื่อนที่ไม่มาเมื่อวานฟังหน่อยว่า พี่ๆ เขาชวนเรียนเรื่องอะไรบ้าง”
“เรื่องสิทธิมนุษยชนค่ะ ว่าอะไรคือสิทธิบ้าง อะไรไม่ใช่ และอะไรที่เราไม่ควรไปละเมิดคนอื่นค่ะ”

หลังโฮมรูมไม่นานนัก ‘ครูปุย ครูโต้ง และ ครูผึ้ง’ หมู่พวกที่ครูสัญญากล่าวถึงก็เดินทางมาโรงเรียน ทั้งสามคือเพื่อนร่วมทางใน ‘รถพุ่มพวงชวนเรียนรู้’ โปรเจ็คต์ที่ชวนเด็กๆ มาทำกิจกรรมในช่วงปิดเทอมอันยาวนาน
รถพุ่มพวงในภาพจำของเราๆ คือภาพรถเร่ขายของที่คล้ายตลาดสดเคลื่อนที่ พืชผัก อาหาร หอม กระเทียม มะนาว หอบของพะรุงพะรังเต็มคันรถ และขับเคลื่อนเข้าไปหาผู้คนพร้อมโทรโข่งตัวเขื่อง แต่รถพุ่มพวงในความหมายของครูสัญญาและเพื่อนๆ คือสัญลักษณ์ของการศึกษาที่เข้าถึง หลากหลาย อิสระ และจับต้องได้
“เราไปเจอไอเดีย Smart รถพุ่มพวงในจังหวัดขอนแก่น ที่ทำให้ผู้คนสามารถรู้ได้ว่า รถพุ่มพวงจะมาเมื่อไหร่ ตรงไหน ผ่านแอพพลิเคชั่น และสามารถจับจ่ายซื้อวัตถุดิบได้ตามใจชอบ
“หัวใจของรถพุ่มพวงคือ ‘การเข้าถึงคน’ โดยนำอาหารที่มีคุณภาพเข้าไปในชุมชน หลากหลาย เลือกได้ ในราคาที่ชนชั้นรากหญ้าซื้อหาได้ไม่ยาก คอนเซ็ปต์นี้ดี ทำให้เราได้ไอเดียว่า แล้วถ้าเป็นรถพุ่มพวงการศึกษาล่ะ จะเป็นไปได้ไหมวะ”
ไม่รอช้า ครูสัญญาชวนเพื่อนพ้องครูในโรงเรียนมาช่วยพัฒนาไอเดียนี้ให้เกิดขึ้นจริง

“รถพุ่มพวงของเราคือ การศึกษาที่ง่าย ไม่ต้องมาแข่งขัน ไม่ต้องทำตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย อยากเรียนก็มาเรียน อยากรู้ก็ถาม แลกเปลี่ยนกัน เด็กเรียนรู้จากครูได้ ครูเรียนรู้จากเด็กได้ หรือถ้ารู้สึกไม่อยากเรียนก็ถอยก่อนได้ การศึกษาแบบรถพุ่มพวงจึงอิสระมาก”
ตั้งต้นจากทีมครูแบ่งกลุ่มตามความสนใจ ไม่ว่าจะเรื่องศิลปะและงานสร้างสรรค์ เทคโนโลยีและทักษะการสื่อสารผ่านมัลติมีเดีย กิจกรรมจิตอาสาในชุมชน และกิจกรรมเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน
การศึกษา คือเรื่องของความสัมพันธ์
วรินทร์พร ชูกิจไพบูลย์ หรือ ‘ครูปุย’ ของเด็กๆ แห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย หนึ่งในทีมงานรถพุ่มพวงชวนเรียนรู้ ได้เริ่มเล่าให้เราฟังว่า เดิมทีคุณครูมัธยมส่วนใหญ่ที่นี่เติบโตจากการเป็นเด็กกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัย จึงคุ้นเคยกับการทำงานชุมชนเป็นอย่างดี เมื่อสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ช่วงปิดเทอมถูกขยายยืดออกไป สิ่งแรกที่ครูปุยเป็นห่วงและกังวลใจ คือเรื่องของความสัมพันธ์ ความเป็นอยู่ และสภาพจิตใจของเด็กๆ
‘อยู่บ้านทำอะไรกันบ้าง’ ครูปุยถามเด็กๆ
‘นอนอะครู แล้วก็เล่นโทรศัพท์ สไลด์ๆ เฟซบุ๊คไปเรื่อยๆ เนี่ยครูดูนิ้วโป้งผมสิ’
“เฮ้ย นิ้วเขาด้านอะ เด็กไม่รู้จะทำอะไร ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเลย” ภาพที่ครูปุยได้เห็นทำให้เธอนิ่งนอนใจไม่ได้ ชีวิตของเด็กๆ ไม่ได้สุขสบาย สภาพจิตใจของพวกเขากำลังร่วงโรย กระทั่งสภาพแวดล้อมก็ไม่ได้เอื้อให้เด็กๆ เกิดการเรียนรู้ ครูจึงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเยียวยาหัวใจของพวกเขา

“ตอนมาโรงเรียน เด็กๆ เขาดูเหมือนกันเลย ใส่ชุดนักเรียนเหมือนกัน กระโปรงเหมือนกัน รองเท้าเหมือนกัน แต่พอเราไปเห็นที่บ้านเขา เขาไม่เหมือนกันเลยนะ เขามีไม่เท่ากัน”
โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ในชุมชนทางรถไฟ ในสภาพแวดล้อมที่แออัด พ่อแม่มีรายได้รับจ้างวันต่อวัน และไม่น้อยที่เด็กๆ ต้องอาศัยอยู่กับปู่ย่า ดูแลตัวเองตามมีตามเกิด การอยู่บ้านนานๆ เช่นนั้น ครูปุยมองว่าอาจจะอันตรายเสียยิ่งกว่าการมาโรงเรียนด้วยซ้ำ
“การที่เราได้รู้จักชีวิตเขามันสำคัญมาก ทำให้เรารู้ว่า พอเปิดเทอม เราจะวางความสัมพันธ์ระหว่างเราและเขาอย่างไร ถ้าเราไม่เห็น เราอาจจะต่อว่าก่นด่าตอนที่เขาไม่มาโรงเรียนบ่อยๆ แต่พอเราไปเห็น เราจึงรู้ว่า เขาต้องทำงานที่บ้าน หรือเด็กคนนี้ไม่ค่อยซักเสื้อผ้ามา ไม่ดูแลตัวเอง ดูไม่สะอาด แต่พอเราไปเจอเขาที่บ้าน เราจึงรู้ว่า เขาอยู่กับตายายแก่ๆ ไม่มีใครดูแล เขาต้องดูแลตัวเอง ทัศนะที่เรามองเขาก็เปลี่ยนไป”

เด็กๆ ส่วนใหญ่ของโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย มาจาก 3 ชุมชนโดยรอบคือ หนึ่ง-ชุมชนดอนยาง สอง-ชุมชนโนนชัย และสาม-ชุมชนทางรถไฟ โปรเจ็คต์รถพุ่มพวงชวนเรียนรู้จึงเริ่มต้นจากทีมคุณครูได้ลงพื้นที่ไปสำรวจความเป็นอยู่และความพร้อมของเด็ก
สิ่งที่คุณครูค้นพบ นั่นคือเด็กเกินกว่าครึ่งไม่มีความพร้อม ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ ทั้งอุปกรณ์เทคโนโลยีในการเรียน ทั้งสภาพจิตใจ
โปรเจ็คต์รถพุ่มพวงชวนเรียนรู้ โดยการขนวิชาไปหาเด็ก แล้วให้เลือกช็อปปิ้งความรู้ตามใจชอบ ถือว่าเข้าทางทีมคุณครูที่อยากจัดกิจกรรมสนุกๆ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของครูและเด็กเอาไว้ โดยมีลานวัด ศาลากลางบ้าน และใต้ร่มไม้ใหญ่เป็นห้องเรียนที่เด็กสามารถกระโดดวิ่งเล่นได้ตามใจอยาก
“ปุยเชื่อว่า การศึกษา คือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน หมายความว่า ถ้าเราอยากสร้างการเรียนรู้ให้เด็ก จะต้องเกิดจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ถ้าเกิดเขาไม่รู้สึกว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับครู หรือไม่รู้สึกว่าพึ่งพาเราได้ หรือเราช่วยเหลือและโอบอุ้มอะไรเขาไม่ได้ เด็กก็จะรู้สึกว่า ครูไม่ได้มีความหมายอะไร เรื่องความสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก”
‘ครูโต้ง’ ทรงพล พลเยี่ยม คุณครูศิลปะ พละ และวิชาบูรณาการท้องถิ่นศึกษา เล่าถึงแพลนของทีมไว้คร่าวๆ ว่า
“ครูสัญญาเขาสอนสังคมกับศิลปะ เขาก็เลยเอาเรื่องสิทธิมนุษยชนไปทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้วออกแบบการเรียนให้เด็กๆ

“ส่วนกลุ่มเราสนใจเรื่องศิลปะ ก็เอาศิลปะมาเชื่อมโยงกับ COVID-19 โดยการทำผ้ามัดย้อมเย็นแบบง่ายๆ แล้วให้เด็กๆ นำผ้ามาแปรรูปเป็นหน้ากากอนามัย หรือผ้าเช็ดหน้าตามที่เขาสนใจ
“กลุ่มครูที่สนใจเรื่องการงานและคอมพิวเตอร์ก็พาเด็กทดลองเข้าโปรแกรม ZOOM หรือ Google Meet เพื่อที่เด็กจะได้เอามาปรับใช้เมื่อต้องสื่อสารกันผ่านออนไลน์ได้”
ครูสัญญา ครูปุย ครูโต้ง และ ครูผึ้ง ได้ออกแบบกิจกรรมไว้อย่างหลากหลาย ตามแต่ความถนัดของครูและความสนใจของเด็ก รถพุ่มพวงชวนเรียนรู้ยังคงดำเนินไปในทุกอาทิตย์จนกว่าโรงเรียนจะเปิดเทอม จนกว่าวิถีชีวิตเช่นเดิมจะกลับมา เมื่อถึงตอนนั้น ผลงานทุกชิ้นที่เด็กสร้างสรรค์ขึ้นจะถูกนำมาจัดเป็นนิทรรศการเพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิตและการเรียนรู้ของพวกเขาในยุคที่ไวรัสระบาด
ครู โรงเรียน ชุมชน และเด็กๆ
‘มาใช้พื้นที่วัดก็ได้ ศาลากลางหมู่บ้านก็ได้นะครู’ ผู้ปกครองร้องบอกครูโต้ง
“ผู้ปกครองที่รู้ข่าวว่าครูจะจัดกิจกรรม เขาช่วยเต็มที่ ขอเพียงว่าครูต้องจัดมาตรการคัดกรองและป้องกันโควิดให้เด็กๆ ด้วย เว้นระยะห่างกัน ตรวจอุณหภูมิ สวมหน้ากากอนามัย” ครูโต้งว่า
อาหาร ขนม น้ำ และความร่วมไม้ร่วมมือของชุมชนหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย หลังข่าวคราว รถพุ่มพวงชวนเรียนรู้ แพร่สะพัดไปในชุมชนผ่านการบอกปากต่อปาก และการประชาสัมพันธ์โดยผู้นำชุมชน
‘มาเลยครู มาทุกวันนี้ได้ยิ่งดี ขอให้พื้นที่นี้ได้ใช้ประโยชน์ แล้วลูกหลานเราก็ได้ประโยชน์ด้วยกัน’ ชาวบ้านกล่าวกับครูสัญญา
รถพุ่มพวงชวนเรียนรู้เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุผลหลักๆ อยู่สองประการคือ หนึ่ง ผู้นำชุมชนล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงกับโรงเรียน ทั้งในฐานะศิษย์เก่า ผู้ปกครองของนักเรียน และในฐานะกรรมการสถานศึกษา สอง คนในชุมชนมองเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นประโยชน์กับลูกหลาน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่พวกเขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกนัก
“ชุมชนเขายินดีจะซัพพอร์ต การทำงานร่วมกันจึงง่ายขึ้น เบื้องต้นเขาก็ให้ความร่วมมือเรื่องพื้นที่ ประสาน อสม. มาดูแลความปลอดภัย สิ่งนี้เป็นความร่วมมือทางกายภาพนะ แต่เราก็คาดหวังและพยายามขยับให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน มามีส่วนร่วมในการสอน ออกแบบกิจกรรม และประเมินอะไรหลายอย่าง นี่คือระยะต่อไปที่เราจะทำ”
โรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย คือโรงเรียนขยายโอกาส ชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กๆ และคนในชุมชนโดยรอบนั้นมีความยากลำบากและซับซ้อน โดยเฉพาะชุมชนแออัดริมทางรถไฟ ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีรายได้วันต่อวัน และนักเรียนจำนวนกว่าครึ่งของโรงเรียนเข้าไม่ถึงทรัพยากรทางการศึกษา
ว่ากันตามตรง เพียงอาหารสามมื้อต่อวันก็ยังเป็นเรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง
ในความเห็นของ สมศักดิ์ วิไลแก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย มองว่า สถานการณ์ของคนในชุมชนยิ่งเครียดและกังวล เพราะปัญหาเดิมก็หนักอยู่แล้ว โรคระบาดที่เกิดขึ้นจึงเหมือนผีซ้ำด้ำพลอย
ครูซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนมิอาจเพิกเฉยได้ เพราะอย่างน้อยที่สุดในชุมชนนั้นมีชีวิตของลูกศิษย์รวมอยู่ด้วย
“คุณครูเขาก็ไปคิดกันว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาเด็กดีกว่า เพราะเด็กมาโรงเรียนไม่ได้ เรามีหน้าที่ให้คำแนะนำว่าต้องไปประสานกับใครถ้าจะลงชุมชน หรือถ้าครูลงพื้นที่ไปเจอกรณีที่หนักมากๆ เช่น ครอบครัวของเด็กที่มีผู้ป่วยติดเตียง ไม่มีรายได้เลย มีเด็กหลายคน ก็ให้แจ้งมาทางเรา เราจะหาแหล่งบริจาค แหล่งทุน หรือของอุปโภค บริโภคประจำวัน เอาไปช่วยเหลือเขาได้”

ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียน ผอ.สมศักดิ์ มองว่า การเปิดโอกาสให้ครูรุ่นใหม่ได้ลองผิดลองถูก เรียนรู้ และปรับรูปแบบการเรียนการสอนของตนนั้นคือเรื่องสำคัญ ที่จะทำให้คุณครูสามารถมีแรงและมีใจในการสร้างสรรค์วิธีการทำงานให้สอดคล้องกับเด็กๆ ได้
เด็กนักเรียนราว 700 คน กับพื้นที่โรงเรียนกว่า 36 ไร่ ผอ.สมศักดิ์ ตอบอย่างหนักแน่นว่าเขาพร้อมสำหรับการเปิดเทอมในวันที่ 1 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ และตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า เด็กๆ ต้องได้มาเรียนตามปกติในทุกวันและทุกคนเช่นเดิม โดยการตระเตรียมอุปกรณ์ มาตรการการจัดการให้เป็นไปตามแนวทางของสาธารณสุขให้ครบทุกด้านเท่าที่จะทำได้
“เราอยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนกลับคืนมา ถ้าจะเรียนออนไลน์อย่างเดียว เขาแทบจะไม่ได้อะไรเลย เราจึงพยายามเตรียมพร้อมให้สมบูรณ์ให้ได้”
นี่ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่แนวคิดดังกล่าวตกผลึกออกมาจากข้อเท็จจริง และชีวิตจริงเด็ก ไม่ใช่ทุกบ้านที่มีทีวี ไม่ใช่ทุกบ้านที่มีความอบอุ่น และไม่ใช่เด็กทุกคนที่อิ่มท้องช่วงปิดเทอม
“มันคือความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เด็กเสียโอกาสตรงนี้ไปทั้งๆ ที่เขาเป็นคนไทยคนหนึ่ง เราอยากเปิดโรงเรียน 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ด้วยเหตุผลนี้ อยากให้เด็กกลุ่มที่ไม่มีได้มีโอกาสกลับมา ซึ่งเป็นเด็กกลุ่มใหญ่ของโรงเรียนด้วยนะ
“ต้องไม่มีคำถามว่า มีอินเทอร์เน็ตไหม มีทีวีไหม มีออนไลน์ไหม ทุกคนมาโรงเรียน และทุกคนจะได้โอกาสเท่ากัน”
อีกเหตุผลคือเรื่องปากท้อง ผอ.สมศักดิ์ มองว่า ถ้าโรงเรียนไม่เปิด ครูจะมั่นใจได้อย่างไรว่านักเรียนจะอิ่ม แล้วถ้านักเรียนไม่อิ่ม เขาจะเอาแรงที่ไหนไปเรียนรู้
“ถ้าเขามาโรงเรียน เรามั่นใจว่าเขาจะได้กินอาหารกลางวัน ได้ดื่มนมจริงๆ เอาแค่ปัจจัยพื้นฐานอย่างอาหาร มันยืนยันว่าเขาได้โอกาส หลายคนมักบอกว่า ‘จ่ายเงินสดไปสิ’ คำถามคือ จะยืนยันได้อย่างไรว่า 20 ที่จ่ายไปนั้นเขาจะได้กินข้าว แล้ว 20 บาท ซื้อข้าวได้จริงไหม”
โรงเรียนในความหมายของ ผอ.สมศักดิ์ จึงไม่ได้มีหน้าที่จำกัดอยู่ที่ขอบรั้ว แต่เกี่ยวพันกับทุกปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของมนุษย์คนหนึ่ง การเปิดเทอมหลังโรคระบาดที่จะถึงนี้ จึงมีความหมายมากกว่าการเรียนและการสอน แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ ปากท้อง และสภาพจิตใจของเด็กทุกคนที่ต้องได้รับการเยียวยา