สึนามิคือตัวแปรที่ทำให้คนที่นี่เริ่มตระหนักถึงคุณค่าของบ้านเกิด
สึนามิคือตัวแปรที่ทำให้มองปัญหาตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ว่า ‘พังงาดีกว่านี้ได้’
นี่จึงเป็นที่มาของการจับมือก่อตั้ง สถาบันเรียนรู้พังงาแห่งความสุข นับจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ผ่านไปกว่า 10 ปี กลุ่มต่างๆ ในพังงาจับมือทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน
กระทั่งวันที่ความสุขเริ่มผลิดอกออกผล พื้นที่ที่เคยเผชิญหน้ากับความทุกข์วันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ผลลัพธ์ของการต่อสู้ตลอดมา ทำให้วันนี้ชุมชนหลายแห่งกลายเป็นพื้นที่นำร่องในการจัดการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ หลายพื้นที่กลายเป็นห้องสมุดที่บรรจุวิชาชีวิตไว้มากมาย หลายพื้นที่กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน
ความเข้มแข็งของคนพังงางอกงามขึ้นได้อย่างไร ถอดบทเรียนได้จากเวทีเสวนาเส้นทางสู่สถาบันการเรียนรู้พังงาแห่งความสุข ณ สำนักงานสมาคมประชาสังคมพังงาแห่งความสุข ตำบลตากแดด อำเภอเมือง จังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา

เพื่อชีวิตลูกหลานสถาบันการเรียนรู้พังงาฯ จึงเกิดขึ้น
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2560 มีการเชื่อมเครือข่ายผู้นำ โดยการชวนทีมนักวิจัยลงพื้นที่ในจังหวัดพังงาเพื่อศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่ใช้ในการขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงชุมชน
อธิษฐาน์ คงทรัพย์ รองคณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ย้อนถึงที่ไปที่มาของสถาบันการเรียนรู้พังงาฯ ไว้ว่า ภารกิจของนักวิจัยเมื่อลงพื้นที่ คือการเรียนรู้ซึ่งกันและกันกับพี่น้องชาวบ้าน และร่วมถอดบทเรียน องค์ความรู้ต่างๆ ที่มีมากมายในพื้นที่ แล้วนำมาสกัดให้เป็นองค์ความรู้ทางวิชาการ เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะและประกาศว่าพังงาคือพื้นที่แหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ โดยสิ่งหนึ่งที่นักวิจัยเห็นอย่างชัดเจนคือความเข้มแข็งของขบวนการขับเคลื่อนโดยชาวชุมชนเอง

ทว่า จะทำอย่างไรให้ขบวนการดังกล่าวถูกสืบสานต่ออย่างยั่งยืน
คำถามข้อนี้นำไปสู่โจทย์การระดมไอเดีย ช่วยกันสังเคราะห์ว่าจะทำอย่างไรให้การทำงานของคนในภาคสังคมยังคงอยู่ต่อ
จึงเป็นที่ไปที่มา ของการหาวิธีสร้างความยั่งยืนด้วยนวัตกรรมสู่ชุมชนผู้ประกอบการ ในปี 2561-2562
ปัญหาใหญ่ที่พบจากการลงพื้นที่ พบว่าในพังงายังเจอข้อจำกัดด้านการบริหารจัดการ โดยเฉพาะด้านการเงิน ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากกลุ่ม School Change Maker และ Intrapteneur เข้ามาช่วยวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ วางเป้าหมายร่วมกัน และค้นหาวิธีการคลี่คลายให้สถานการณ์ดีขึ้น
“สิ่งหนึ่งที่คนพังงาไม่เคยยกขึ้นมาให้คนอื่นได้ทราบ คือ เคล็ดลับหรือหัวใจของการทำงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง” อธิษฐาน์ย้ำ
ปี 2563 จึงก่อเกิดสถาบันการเรียนรู้พังงาแห่งความสุขขึ้นมา เพื่อถ่ายทอดบทเรียนให้เป็นการเรียนรู้แก่พื้นที่อื่นๆ ที่ยังหาประตูสู่ความสำเร็จไม่เจอ
ถอดบทเรียน: อะไรคือความสำเร็จของคนพังงา
เมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้พังงานเดินทางมาถึงจุดนี้ มีอยู่ 4 ข้อ
- พังงารู้จักเชื่อมคนทุกภาคส่วนอย่างเป็นมิตร โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังทั้งภาครัฐหรือเอกชน ขับเคลื่อนไปด้วยกันทั้งจังหวัด
- เปิดรับเครื่องมือและนวัตกรรมใหม่ๆ เปิดใจที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ
- นำร่วมไม่นำเดี่ยว หมายถึงการเปิดรับฟังทุกวงไม่ว่าจะระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ
- ทำงานด้วยใจ โปร่งใสและตรวจสอบได้
ชาตรี มูลสาร ผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้พังงาแห่งความสุข ย้ำเจตนาการเกิดขึ้นของสถาบันการเรียนรู้พังงาฯ ไว้ว่า เท่าที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล้วนเคยทำงานด้านการพัฒนาในจังหวัดเกือบทุกด้านแล้ว ทั้งเรื่องชาติพันธุ์ เศรษฐกิจ สวัสดิการชุมชน หนี้สิน ฯลฯ แต่เมื่องานพัฒนาเดินมาถึงระยะหนึ่ง กลับเกิดคำถามขึ้นมาว่าจะสามารถต่อยอดหรือออกแบบงานพัฒนาที่ทำอยู่ให้ไปในทิศทางไหนได้บ้าง โดยจะต้องเกิดมูลค่าเพิ่มและคุณค่านั้นจะต้องส่งต่อเครื่องมือต่างๆ ให้ทั้งคนนอกและพี่น้องในพื้นที่ที่เป็นเด็กรุ่นใหม่
“ถ้าเราอยากให้รักษาวัฒนธรรมเกาะยาวน้อยหรือชุมชนอื่นๆ ในพังงาดำรงอยู่ต่อไปได้ เราต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเดิมและต้องส่งต่อให้โลกรู้ว่ากระบวนการข้างในลึกๆ ที่ชุมชนต้องการที่แท้จริงคืออะไร เราจึงมองหาภาคีหนุนเสริมให้สิ่งเหล่านี้ได้แสดงออกมา”

ดังนั้นหลักสูตรทั้ง 6 หลักสูตร ภายใต้สถาบันการเรียนรู้พังงาแห่งความสุข จึงถูกสกัดออกมาเป็น
หลักสูตร 1 รวมคนสร้างเมืองตามแนวคิดพังงาแห่งความสุข: โดยถอดบทเรียนจากการรวมทีมเพื่อสร้างกลยุทธ์ สร้างวิธีการ รวมถึงสร้างกระบวนการต่างๆ จากคณะผู้ริเริ่ม เพื่อค้นหาความต้องการร่วมกันจากทุกฝ่ายในพังงาอย่างแท้จริง
หลักสูตร 2 บ้านน้ำเค็ม: วางแผนป้องกันแก้ไขภัยพิบัติด้วยชุมชน โดยถอดบทเรียนจากตำบลบางม่วงในการจัดการภัยพิบัติโดยนำบทเรียนจากเหตุการณ์สึนามิมาเป็นบทพิสูจน์ของพลังการบริหารจัดการโดยชาวบ้านชุมชน
หลักสูตร 3 จัดสรรทรัพย์แบ่งปันสุข: โดยถอดบทเรียนจากตำบลรมณีย์ ที่มีการจัดกองทุน เพื่อช่วยค้นหาและแก้ไขปัญหาหนี้สินให้ชาวบ้าน โดยกองทุนนี้จัดการบริหารดูแลโดยชาวบ้านทั้งหมด
หลักสูตร 4 มอแกลนทับตะวัน: เข้าใจพหุวัฒนธรรมสร้างสรรค์พลเมืองโลกโดยถอดบทเรียนจากพี่น้องชาวมอแกลน ในประเด็นวัฒนธรรม ภูมิปัญญาและวิถีเดิมของพวกเขา
หลักสูตร 5 เกาะยาวน้อย: สู่ความสุขร่วมของคนในชุมชนโดยถอดบทเรียนในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ การรักษาสิ่งแวดล้อม การจัดหางานให้ลูกหลานในบ้านเกิดตัวเอง รวมไปถึงการสืบสานวัฒนธรรมของชาวมุสลิม
หลักสูตร 6 โคกเจริญ: สุขภาพดีวิถีโคกเจริญ โดยถอดบทเรียนจากตำบลโคกเจริญ ในการจัดการทรัพยากรอาหารอย่างครบวงจร ทั้งในมุมสุขภาพ โภชนาการ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา
เมื่อถามถึงการมีอยู่ของสถาบันพังงาแห่งความสุข สุทธิโชค ทองชุมนุม ประธานโครงการขับเคลื่อนพังงาแห่งความสุขเล่าภาพรวมถึงสภาพปัญหาเดิม อธิบายถึงวิธีการที่จะช่วยคลี่คลาย และการถอดหลักสูตรจากสถาบันการเรียนรู้พังงาฯ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาไว้ว่า
ท่ามกลางปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยที่สูงติดอันดับต้นๆ ของโลก และบางครั้งการประเมินผลการพัฒนาด้วยตัวเลข GDP อาจสวนทางกับเงินในกระเป๋าของประชาชน ที่สำคัญข้อมูลมักจะระบุว่า หากจังหวัดไหนสามารถทำเงินให้ประเทศได้มากที่สุด ประชาชนจังหวัดนั้นมักมีความสุขน้อย ซึ่งสถาบันแห่งนี้พิสูจน์ว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นจริง

สุทธิโชคเล่าว่า ปัญหาที่พังงาเผชิญมาตลอดคือการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งการพัฒนาที่ว่าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากมาย คำถามตามมาคือคนท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์จากการขยายเศรษฐกิจนี้หรือไม่
“ยกตัวอย่างการท่องเที่ยวก่อนช่วงโรคระบาด เราพยายามทำนโยบายกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวกระแสหลักไปยังชุมชน แต่พอหลังเจอโควิด-19 ทุกอย่างไม่เป็นตามแผน และนี่คือโจทย์ใหม่ที่ท้าทาย เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เราจะเพิ่มสัดส่วนให้ธุรกิจชุมชนอย่างไรเพื่อทำให้พังงาเดินต่อ
“รวมถึงปัญหาด้านการเกษตรของพังงา แต่เดิมเราพบการกระจายฐานทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรม เราจะทำอย่างไรให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะกลุ่มนายทุนหรือชาติพันธุ์”
ปัญหาทั้งหมดทั้งมวล จะคลี่คลายลงได้ด้วย 3 หัวข้อ นั่นคือ
- การมีส่วนร่วมรับฟังเสียงของทุกภาคส่วน ไม่ใช่การสั่งแบบ top-down เมื่อใดก็ตามที่การแก้ไขปัญหาถูกออกแบบร่วมโดยคนทุกภาคส่วน ประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่
- การเชื่อมโยง เกื้อหนุน การกระจายรายได้ไปสู่ชุมชน
- มองถึงผลกระทบด้านทรัพยากร
จากประสบการณ์ที่สุทธิโชคได้ลงพื้นที่ไปทดลองเรียนหลักสูตรกับสถาบันการเรียนรู้พังงาฯ พบว่า กุญแจสำคัญที่ทำให้ชาวตำบลรมณีย์คลี่คลายปัญหาเดิมในพื้นที่ได้คือ การให้ความสำคัญกับศักยภาพของพื้นที่และศักยภาพคนอย่างมาก เห็นได้จากความพยายามพัฒนาคนและสร้างความต้องการร่วมกับพี่น้องในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหา
ไม่ต่างจาก ดร.กิตติ คงตุก รองคณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในฐานะนักวิจัยที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ บอกถึงประสบการณ์ในช่วงแรกที่เข้ามาทำงานกับพี่น้องชาวพังงาและย้ำว่าจุดเด่นของที่นี่คือความพยายามสร้างคน
“ก่อนผมมาทำงานก็ไม่ได้รู้จักพื้นที่เสียเท่าไหร่ แต่เรามีโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ภาคประชาสังคมมีความมั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น ผมเชื่อว่าการทำงานด้วยใจ แรงกาย หรือความเสียสละ สักวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะฝ่อลงไปได้ ผมจึงมีไอเดีย นำเอาองค์ความรู้การประกอบการทางสังคม (social enterprise) เข้ามาใช้ในพื้นที่”

แต่นี่ไม่ใช่การเอาวิธีคิดที่มีอยู่แล้วมาใช้ในพื้นที่ หลักสูตรต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงถูกปรับและออกแบบตามแนวคิดให้เข้ากับพี่น้องพังงา กิตติยืนยันและกล่าวได้เต็มปากว่าสถาบันพังงาแห่งความสุขเป็นสถานที่ที่สะท้อนตัวตนและวิธีคิดของคนพังงาจริงๆ
“ช่วงแรกๆ ที่เราลงพื้นที่ไปทำกิจกรรม (workshop) แม้ยังไม่ได้ผลตอบรับที่ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจับประเด็นที่ชาวบ้านลงมือทำอยู่แล้วจึงง่ายขึ้น ดังนั้น 6 หลักสูตรที่เกิดขึ้น ค้นเจอจากความเป็นไปได้และจุดเด่นของพังงาในแต่ละพื้นที่จริงๆ”
กิตติย้ำว่า ถ้ามองประชาชนคือฟันเฟืองในการสร้างสมดุลระหว่างภาครัฐและเอกชน สถาบันพังงาแห่งความสุขจึงมีความหมายมากกว่าสถาบันการเรียนรู้ เพราะนี่คือตัวตน นี่คือสิ่งที่ประชาชนคนพังงาอยากนำเสนอ
เราจะไปต่ออย่างไร ในโลกการเรียนรู้
“ผมรู้สึกว่าโลกของการเรียนรู้ในปัจจุบันมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว” กิตติทำนายโลกการศึกษาในอนาคตไว้ว่าภายภาคหน้าคนจะถามหาการเรียนรู้แบบยึดตามผู้เรียนเป็นหลัก
“ถ้าวันนี้พังงาหรือจังหวัดอื่นๆ มีทุนทางทรัพยากรมนุษย์ ทุนทางสังคม ทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ และนำมาบูรณาการเป็นหลักสูตรได้ ผมว่าสิ่งน่าสนใจคือลูกหลานหรือเยาวชนโดยเฉพาะในพื้นที่จะมีวิธีการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไปอย่างไร โดยที่พวกเขายังเติบโตขึ้นมาโดยรับรู้และซึมซับเรื่องบ้านตัวเอง
“ทุกคนมักจะพูดถึงสึนามิว่าเป็นจุดพลิกทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน แต่ผมคิดว่ายุคนี้เราไม่จำเป็นต้องมีสึนามิอีก ถ้าสถาบันแห่งนี้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ อุดมการณ์อาจจะถูกส่งต่อไปถึงมือเยาวชนจริงๆ โดยแค่ใช้สึนามิเป็นต้นทุนบางอย่างเท่านั้นเอง”
พังงาแห่งความสุขไม่ใช่แค่เรื่องภูมิภาค แต่สะเทือนถึงโครงสร้างเชิงระบบ
ภายในเวทีเสวนาเส้นทางสู่สถาบันการเรียนรู้พังงาแห่งความสุข รศ.ดร.ณฐพงษ์ จิตรนิรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยทักษิณได้แลกเปลี่ยนมุมมองในประเด็นโลกการศึกษาไว้เช่นกันว่า การเกิดขึ้นของสถาบันครั้งนี้คือก้าวที่สำคัญมาก
“เดิมทีระบบการศึกษาไทยหล่อเลี้ยงคนเพื่อไปสู่ระบบเศรษฐกิจและกลายเป็นแรงงานราคาถูกในระบบทุนนิยม นี่คือการลดทอนความเป็นมนุษย์และตัดความสัมพันธ์ระหว่างคนและชุมชนท้องถิ่นโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นระบบที่เป็นอยู่นี้จึงส่งผลทำให้คนเชื่องในระบบเศรษฐกิจและเป็นพลเมืองที่เฉื่อยชาท่ามกลางวัฒนธรรมสังคมและการเมือง”

การจัดตั้งสถาบันการเรียนรู้พังงาแห่งความสุขครั้งนี้ สะท้อนนัยยะสำคัญ 4 ประการ
หนึ่ง – การจัดตั้งสถาบันการเรียนรู้พังงาฯ เป็นเบ้าหล่อหลอมความคิดและจิตสำนึกของผู้คน เปรียบเสมือนห้องเรียนในการพัฒนาชุมชนตามศักยภาพของแต่ละบริบทที่หลากหลาย
สอง – มากกว่าการเป็นแหล่งเรียนรู้ สถาบันการเรียนรู้พังงาฯ แห่งนี้เป็นพื้นที่กลางให้คนที่อยู่ในพื้นที่และผู้คนที่อยู่ไกลออกไป ในการขบคิด ต่อยอด ขยายผลในการจัดการชุมชน จัดการตัวเอง เชื่อมร้อยคน เชื่อมร้อยประเด็น เชื่อมร้อยกิจกรรมนำไปสู่การขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ
สาม – การเรียนรู้และการออกแบบการเรียนรู้ มีส่วนสำคัญในการสร้างพลเมืองผู้กระตือรือร้นในการลุกขึ้นมาจัดการอะไรบางอย่างในชุมชนของตนเอง เพราะไม่มีการเรียนรู้ใดจะมีประสิทธิภาพเท่ากับการเรียนรู้ร่วมกัน ไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
สี่ – หลักสูตรจะเป็นเครื่องมือการสื่อสารที่สำคัญในการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ที่อยู่ไกลออกไป รวมถึงช่วยติดอาวุธทางความคิด เกิดการสุมไฟทางความคิดก่อนจะมาจุดไฟตัวเองให้เกิดความแตกต่างหลากหลาย

นอกจากนี้ ณฐพงษ์ยังมองเห็นโอกาสในการสร้างความสุขที่ยั่งยืนในภาคใต้หลังจากเกิดสถาบันการเรียนรู้พังงาฯ เพราะสถาบันนี้คือตัวแทนของวิธีการหารือและช่วยกันขบคิดเพื่อสร้างพื้นที่ส่วนกลางในระดับภาค และหวังเพียงให้วิธีการเช่นนี้ขยายไปภูมิภาคต่างๆ ให้ได้ในอนาคต
“จะดีกว่าไหมหากเราสร้างพื้นที่กลางระดับภาคและจังหวัดไปพร้อมๆ กัน เพราะนี่เป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อน ผลักดันและสร้างภาคใต้ให้เป็นพื้นที่มั่นคง ปลอดภัย ยั่งยืน ไม่ว่าจะในแง่ของการพัฒนามนุษย์ ทรัพยากรต่างๆ ระบบเศรษฐกิจ ฯลฯ”
“ผมจึงมองว่านอกจากการนึกถึงแค่เรื่องระดับภาคแล้ว ภารกิจสำคัญของสถาบันการเรียนรู้พังงาฯ และพวกเราทุกคนคือการมองเห็นเพื่อนรอบข้างและโลกของเรา” ณฐพงษ์ ทิ้งท้าย