อีกปีเดียวเกษียณ แต่ยังไม่หยุดเรียนรู้

อีกปีเดียวเกษียณ แต่ยังไม่หยุดเรียนรู้

เริ่มจากการจินตนาการง่ายๆ ก่อนว่า เมื่อเรานึกภาพเด็กที่วิ่งเล่นในโรงเรียนแถบชนบทที่รายรอบไปด้วยภูเขา ห่างไกลตัวเมือง เด็กหญิงผมสั้นตัดตรง เด็กชายไว้ผมรองทรง เจี๊ยวจ๊าวกันอยู่ในห้องเรียนไม้ขนาดไม่กว้างมาก นั่นคือเสียงหัวเราะจริง การเรียนการสอนจริง แต่ลึกลงไปกว่าความสดใสโรแมนติกของธรรมชาติและตัวเด็ก เราต่างเข้าใจดีว่ามีปัญหาความเหลื่อมล้ำซุกอยู่ใต้ลมอ่อนๆ และรอยยิ้มของครูหรือพ่อแม่ที่เฝ้าดูลูกเดินเข้าโรงเรียนทุกเช้าเสมอ

โลกอีกฟากหนึ่งของภูเขาเคลื่อนไหวฉับไว โรงเรียนในเมืองมีอีกภาพที่แตกต่าง ศตวรรษที่ 21 นำพาความหลากหลายของการเข้าถึงข้อมูลความรู้ อาชีพและรูปแบบธุรกิจมากมายเกิดขึ้นใหม่ อัตราการแข่งขันทางการศึกษานับวันก้าวเข้าสู่ความไร้ที่ติจนติดตามไม่ทันขึ้นเรื่อยๆ เรามีนักเรียนที่เป็นเลิศเชิงวิชาการที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกทุกปี แต่ว่านั่นเป็นเพียงเสี้ยวเปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งหมดในประเทศ

ปัญหาใหญ่ของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาคือ ความแตกต่างทางสถาบันการศึกษา (Thaipublica, 2016) แต่อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ก็ระบุว่ามีบางโรงเรียนในไทยที่พัฒนาคุณภาพการศึกษาจนเข้าใกล้รูปแบบของโรงเรียนในฝันบ้างแล้ว หลักสูตรที่พัฒนาผู้เรียนทั้งภายในและภายนอก รวมถึงการสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนทางความรู้ระหว่างครู (Professional Learning Community: PLC) เกิดขึ้นจริงได้ ถ้ามีครูที่รู้จักพัฒนานวัตกรรมการสอนอย่างยั่งยืนและไม่หยุดเรียนรู้

หนึ่งในนั้นคือ ครูวัย 59 ปีที่ยังมีความรุ่นใหม่มากๆ อย่าง ‘ครูวิลลี่’ อนุสรณ์ นิลโฉม คุณครูโรงเรียนชุมชนบ้านผานกเค้า จังหวัดเลย

แหวกดงไผ่เข้าไปสอน

เมื่อราวๆ 34 ปีที่แล้ว หลังจากครูวิลลี่จบการศึกษาภาควิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และทำงานบริษัทมาได้สักพัก เขาสอบบรรจุข้าราชการครูติดและเลือกโรงเรียนที่จะไปสอนได้มากมาย โรงเรียนบ้านซำไฮ อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเขา

“พอเห็นภูกระดึง เราก็คิดว่ามันมีสถานที่ท่องเที่ยว ต้องเจริญ เอาล่ะ! กูไปเป็นครูได้อยู่ เพื่อนมาเที่ยวได้เยอะด้วย แต่วันแรกที่มาบรรจุ ผมต้องแหวกดงไผ่เข้าไปแล้วถึงเจอทางเดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ทุกอย่างในสมองเราเหมือนระเบิดออก คิดอย่างเดียวว่าอยากกลับบ้าน ผมคิดในใจเลยว่า ‘กูจะไม่เป็นครู’ (หัวเราะ)”

เปิดตัวมาอย่างแรงมาก จากที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ต้องมาอยู่ในพื้นที่ที่เทคโนโลยีเข้าไม่ถึงเลย แถมต้องเดบิวต์ด้วยการสอนครบทุกสาระวิชา เช่น สปช. กพอ. สลน. ควบไปกับตำแหน่งครูประจำชั้นด้วย

ถึงครูจะเป็นคนตลกแค่ไหน ก็ต้องเงียบกริบในนาทีนั้น

“ครั้งแรกไปสอน ป.1 ต้องไปเช็ดขี้มูก ล้างก้นให้ มันเป็นสิ่งที่โลกแตกพอสมควรใน 3 เดือนแรก แล้วโรงเรียนดันมีแต่ครูผู้ชาย ไม่มีครูผู้หญิงเลย ปรึกษาอะไรก็ไม่ได้ วิธีเดียวคือกินเหล้าตอนเย็น หลับไป และตื่นมาทำงาน มันช่วยอะไรกันไม่ได้เลย ดีที่เด็กพูดง่าย เข้าใจง่าย กระบวนการสอนไม่ได้ยาก ที่ยากคือสภาพภูมิศาสตร์ ตกเย็นมาเราจุดเทียน ตอนเช้าจะอาบน้ำก็ต้องเดินไปที่ลำธาร เดินกลับขึ้นมาแต่งตัว จุดไฟ หุงข้าว ครูต้มไข่ ทอดไข่กินกัน 5 คน”

แน่นอนว่าหดหู่ขนาดนี้ ครูวิลลี่เคยคิดที่จะขอย้ายกลับเข้าไปสอนในตัวเมือง

“มีอยู่วันหนึ่งเด็กผู้หญิง ป.2 สองคนใส่กระโปรงตัวใหญ่ๆ เสื้อสีขาวตัวใหญ่ๆ เก่าๆ ที่ได้รับบริจาคมา แบกจอบแบกเสียมหลังจากไปทำการเกษตรมา มือไม้ด้านแตกไปหมด แต่ดูมีความสุข ทั้งคู่เดินผ่านหน้าผมไป ตอนนั้นตัวผมเองนั่งท้อใจทุกวัน อยากกลับบ้าน ไม่อยากสอนหนังสือ แต่เขาตัวเล็กนิดเดียว เดินแบกจอบเขายังหัวเราะชอบใจ เรามีโอกาสดีกว่าเขา แล้วทำไมเราไม่ทำให้ตัวเองมีความสุข นั่นเลยเป็นจุดเปลี่ยน”

ผ่านมา 30 กว่าปี ครูวิลลี่ยังจำภาพนั้นได้ดีว่า แม้ไฟจะยังไม่มา “แต่เราต้องหาตัวตนให้เจอก่อน”

หลังจากอยู่โรงเรียนบ้านซำไฮมา 23 ปี ไฟฟ้าค่อยเข้าถึง ถนนเริ่มตัดผ่าน แทนที่จะอยู่ใช้น้ำไฟให้สมใจ ครูก็ (ดัน) ย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนชุมชนบ้านผานกเค้า ห่างออกไป 13 กิโลเมตร แต่อยู่ในเขตอำเภอเดียวกัน

เด็กต้องมีสิทธิในความ ‘ชอบทำ’

ในศตวรรษที่ 21 โลกทุกอย่างเชื่อมต่อถึงกันหมด ความรู้เข้าถึงได้ง่าย สิ่งที่ท้าทายการเรียนการสอนและการศึกษารูปแบบใหม่ที่ไม่ตามขนบจึงอยู่ที่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประโยชน์สูงสุด

ดังนั้นหากเด็กได้รับการฝึกฝนให้มีศักยภาพในการคิดเชิงวิพากษ์ หรือเริ่มจากเรื่องง่ายๆ เช่น การเข้าใจตัวตนและสิทธิในความ ‘ชอบทำ’ ของตัวเอง ไม่ว่าโรงเรียนนั้นจะอยู่ห่างไกลความเจริญมากแค่ไหน ชุดความรู้เหล่านี้ก็จะติดตัวเด็กไปเป็นทักษะการใช้ชีวิตที่ใช้การได้ในภายภาคหน้า

“โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนขนาดกลาง มีเด็ก 200 คน ตั้งแต่อนุบาลถึง ม.3 เป็นโรงเรียนขยายโอกาส ซึ่งเราเรียกว่าโรงเรียนฉวยโอกาส เด็กส่วนใหญ่จะมาจากชุมชนแถวนี้บ้าง หรือมีบ้านอยู่ในป่าบ้าง หลังจากที่ผมได้ไปอบรมเรื่องกระบวนการเรียนรู้แบบ PBL (Project-based Learning) และพหุปัญญากับคุณก๋วย พฤหัส พหลกุลบุตร ที่มูลนิธิสื่อชาวบ้าน (กลุ่มละครมะขามป้อม) ในปี 2557 ผมก็เริ่มรู้สึกว่าหลักสูตรเชิงวิชาการที่เราทำอยู่ มันไม่ได้ทำให้เด็กค้นพบตัวเองหรือเรียนรู้คนอื่น

“เลยมาคุยกันว่า ไอ้ที่เราสอนกันหลายสาระวิชาเพื่อที่จะให้เด็กไปสอบหรือแข่งขัน ส่งเสริมเด็ก 2-3 คน เพื่อไปแข่ง แต่ทิ้งเด็กอีก 200 คน ไว้ด้านหลังนี่มันตอบโจทย์การศึกษาที่ดีไหม เราควรเอากระบวนการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Active-based Learning) การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based learning) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน หรือ (Problem-based Learning) มาใช้กับเด็กดีไหม หรือใช้จิตศึกษาดีไหม”

‘จิตศึกษา’ น่าจะเป็นคำตอบเจ๋งๆ สำหรับโรงเรียนสไตล์ผานกเค้า แต่กระบวนการการเปลี่ยนแปลงแรกๆ ทำได้ยาก เพราะทั้งตัวครูและบุคลากรที่โรงเรียนเองก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ถึงขั้นคุณภาพของผลการศึกษาลดลงจากมาตรฐานเดิมจนถึงปี 2559 แต่กราฟก็ดีดขึ้นมาในปี 2560 จนปัจจุบันเริ่มมีโรงเรียนจากที่ต่างๆ มาดูงาน

“เด็กต้องใช้เวลาในการปรับตัว ชุมชน ครูด้วย แต่เมื่อเด็กเริ่มเข้าใจ ว่าทำไมกลับไปบ้านต้องค้นคว้างานที่ครูให้ ก็คือความรู้ที่แลกเปลี่ยนกัน เขาก็เริ่มเข้าใจกระบวนการมากขึ้น ถ้าทุกระดับชั้นได้รับการเรียนการสอนที่ปรับไปคล้ายๆ กันก็จะสามารถพัฒนาไปด้วยกันได้”

‘จิตศึกษา’ เอาใจนักเรียนมาใส่ใจครู

ครูวิลลี่เริ่มไปศึกษาเพิ่มเติมจากโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ ก่อนไปยังหัวเราะกับตัวเองว่า แก่ขนาดนี้แต่ก็ออกไปสังเกตการณ์บ่อยๆ ทุกปี นับได้ 8-9 ครั้ง โดยออกไปเรียนรู้กระบวนการต่างๆ เช่น เข้าโครงการของกลุ่มก่อการครู, inskru, ครูปล่อยของและพลเรียน เพื่อนำมาใช้กับนักเรียนและครู

“ผมมองว่าผมอายุ 59 เนี่ย ไม่สามารถถ่ายทอดให้ใครได้มากกว่าการซึมซับจากเด็กรุ่นใหม่ ผมว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป เมื่อก่อนครูยุคเก่ายืนสอนหน้าชั้น มายืนชี้กระดาน สะกดต้องได้ ตามหลักการเป๊ะ ซึ่งก็มีข้อดีนะ อย่างเด็กที่ผมสอนในป่ามีจบดอกเตอร์อยู่ 3 คน เพราะเขามีความพร้อมในตัวที่จะเดินในเส้นทางนั้น ตอนนั้นเราก็ภูมิใจ แต่พอมามองย้อนแล้วเนี่ย เฮ้ย…มันได้แค่ 3 คนเหรอ แล้วเด็กอีกประมาณ 300-400 คนล่ะ เขาก็ยังไปปลูกมันสำปะหลัง มีชีวิตวนเวียนในจุดเดิม ไม่ได้กระโดดออกไปข้างนอกเลย

ครูวิลลี่ยอมรับว่า สมัยก่อนยังใช้การสอนแบบเก่า แต่หลายปีมานี้ระบบถูกปรับปรุงใหม่ ไม่ได้เน้นให้คะแนนเพื่อไปแข่งขัน

“เพราะเราเริ่มมองเห็นแล้วว่า การศึกษาทุกวันนี้คือการแข่งขัน แข่งขันเพื่อเอาตัวเลขไปอวดกัน ผู้บริหารได้ตัวเลขดีก็ได้เลื่อนสองขั้น หรือครูได้ย้ายไปโรงเรียนที่ใหญ่ขึ้น เอาตัวเลขเพื่อไปแข่งกันในระดับเขตว่าตัวเลขใครดีกว่า กระทรวงฯ ก็จะบอกว่าตัวเลขเท่านี้แสดงว่าประเทศพัฒนา แต่เมื่อย้อนกลับมาดูจริงๆ ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนว่าพัฒนา แต่กลับโกหก”

‘ก๋วย’ จากกลุ่มมะขามป้อม เคยกล่าวไว้ว่า การศึกษาในศตวรรษใหม่ไม่ควรถูกตีความในมิติการเพิ่มคุณภาพแรงงานเพื่อตอบสนองระบบอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ควรมุ่งไปสู่การพัฒนามนุษย์อย่างรอบด้าน ในฐานะพลเมืองของโลกยุคใหม่

คำว่า ‘ยุคใหม่’ ตีความได้หลากหลายแบบ หนึ่งในนั้นน่าจะรวมไปถึงการสร้างจิตใจที่แข็งแรงให้กับนักเรียน ครูวิลลี่เองก็แข็งแรงสดใสมากในวัยก่อนเกษียณ ครูรุ่นใหญ่เห็นความสำคัญต่อการปลูกต้นไม้ที่รู้จักทนแดดทนฝน จึงเน้นการสอดแทรกจิตศึกษาเข้าไปในตัวเด็กๆ

“เมื่อก่อนเราเคยเรียนจิตวิทยาเนอะ แต่เราไม่เคยเอาจิตวิทยามาใช้กับเด็ก ใช้น้อยมาก แต่จิตศึกษาคือการที่เราทำความเข้าใจจิตใจส่วนลึกของเขา ศึกษาจิตใจทั้งเขาและเรา เพื่อให้เกิดจิตสำนึกและเตรียมความพร้อม เช่น วิชาโฮมรูม ครูให้ทำอะไรบ้าง มีแต่สิ่งที่ครูอยากให้นักเรียนทำ แต่ไม่เคยคิดว่านักเรียนอยากทำไหม เมื่อทำโฮมรูมเสร็จแล้ว นักเรียนมีสมาธิ มีจิตตะ มีความว่างที่พอจะเข้าไปเรียนวิชาหลักไหม”

อย่างนั้นแล้ว การทำจิตศึกษาจึงทำเพื่อให้นักเรียนมีความพร้อมทางร่างกายและจิตใจ พร้อมกระโจนเข้าสู่การเรียนรู้ต่อ

ครูวิลลี่ยกตัวอย่างคาบวิชาคณิตศาสตร์ที่ยาวนานถึง 60 นาที ถามว่าเด็กๆ จะมีสมาธิได้ถึง 60 นาทีไหม

“แค่ 20 นาทีแรกเท่านั้นที่เด็กจะมีสมาธิ แต่ถ้าเราเตรียมความพร้อมให้เขาโฟกัสได้ในช่วงนั้น คุณสร้างความสำคัญ สร้างจุดมุ่งหมายให้เขาเรียนรู้ได้ เขาจะมีสมาธิโฟกัสอีกในเวลาที่เหลือ คุณจะให้เขาทำกิจกรรม ทำแบบฝึกหัดก็ทำไปสิ”

โรงเรียนชุมชนบ้านผานกเค้าจะไม่เขียนแผนการสอนเป็นเล่ม แต่สร้าง ‘หลักความคิด’ ในระบบออนไลน์ เพื่อให้ครูนำไปใช้สอนแทนกันได้ แผนจิตศึกษาจะได้รับการดีไซน์ด้วยการปรุงสูตรให้เหมาะกับแต่ละช่วงชั้น เนื่องจากพัฒนาการของเด็กมีความแตกต่างกัน

เมื่อพูดถึงการพัฒนาในแง่จิตใจ อาจฟังดูเหมือนค่อนข้างเป็นเรื่องเชิงนามธรรม คำถามจึงมีอยู่ว่า เกณฑ์ของการออกแบบการสอนจิตศึกษาคืออะไร คำตอบคือออกแบบจากตัวเด็กเอง โดยมีครูเป็นผู้สังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด

“สัปดาห์แรก เราจะพาเด็กออกไปเรียนนอกสถานที่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้เขาหัดสังเกต บางเรื่องที่เด็กเสนอมาก็ออกนอกกรอบ แต่เราไม่ได้ปล่อยอิสระไปเสียทุกอย่าง ก็ต้องตบเขาเข้ามาว่าเรื่องนี้มันน่าเรียนไหม เช่น เธอดูโฆษณาทุกวัน เธอรู้ไหมว่ามันจริงหรือไม่ คิดว่ายาที่ทาแล้วตัวขาวราคา 35 บาท ทาแล้วขาวจริงไหม ดังนั้นเรามาเรียนเรื่องสื่อโฆษณาดีไหม

“ถ้าเด็กลงความเห็นว่าเอา เราก็มาแตกหัวข้อกัน เมื่อแนะแนวทางเด็กและให้เด็กไปค้นคว้าแล้ว เขานำมาเสนอแล้วยังขาด เราจะเติมเต็มให้ การเรียนการสอนที่เด็กไม่ต้องมาจ่ออยู่กับตำราหลายเล่ม เช่น ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์คนมาทำหนัง ขอความรู้จากคน เป็นการกระตุ้นสิ่งที่อยู่นอกห้องสี่เหลี่ยม เด็กจะแบ่งกันเป็นทีมเขียนสตอรี่บอร์ด ทีมสัมภาษณ์ ตัดต่อ แบ่งหน้าที่กัน การเรียนถึงจะสนุก”

เรียนใช่เล่นเลย

รอบๆ อาคารด้านหน้าโรงเรียนมีกระดาษติดฝาผนังเรื่อง Project-based Learning: PBL พร้อมคำอธิบายสั้นๆ กำกับราวกับว่าในตลอดเวลาหลายปีที่ครูวิลลี่พยายามทำเรื่องเรียนให้เป็นเรื่องเล่น จนกลายเป็นเรื่องเล่นที่ใช้ได้ผลจริง โดยที่ไม่ติดกับมาตรฐานตัวชี้วัดของกระทรวงศึกษาธิการด้วย

“เราเขียนแผนของเรา แต่เชื่อมโยงมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของกระทรวงฯ เด็กจะรู้เลยว่าสัปดาห์นี้เขาจะเรียนเรื่องอะไรบ้าง ค้นหาได้ล่วงหน้า เมื่อเขาค้นหาได้ ผ่านกระบวนการย่อยความคิดเสร็จแล้ว เขาก็มาทำ mind mapping นำเสนอ

“อย่าลืมว่ามาตรฐานหรือตัวชี้วัดนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เขาสมมุติขึ้นมา ว่าอยากให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการอ่าน การพูด อ้าว…ถ้าคุณร้องคาราโอเกะได้ คุณอ่านไม่ได้เหรอ ถ้าเรารู้จักปรับกระบวนการให้เหมาะสมกับเด็ก นำสิ่งที่เขาสนใจมาสร้างเป็นบทเรียน เช่น ไม่มีหนังสือเล่มไหนในระดับมัธยมที่สอนเรื่องสื่อนะครับ แต่ผมสอนให้เด็กเรียนรู้เรื่องสื่อ เมื่อคุณดูภาพยนตร์โฆษณาแล้วคุณวิเคราะห์ได้ไหม รู้สึกว่ามันโกหกไหม แล้วคำโกหกนั้นมันพูดอะไรกับคุณ ให้เด็กเขียนทัศนะออกมา เราสอนภาษา สอนทักษะการค้นคว้า สอนวิทยาศาสตร์ หรือวิชาการงานอาชีพ สามารถเชื่อมโยงกับสาระวิชาอื่นได้ แล้วค่อยเชื่อมโยงกับมาตรฐานตัวชี้วัดอีกทีหนึ่ง”

ครูวิลลี่แบ่ง PBL เป็น 4P คือ Play, Practice, Project และ Problem ซึ่งสามารถใช้ได้กับเด็กทุกระดับชั้น ตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมัธยม หลักสูตรก็ free-form มากจนคนเป็นครูเองก็ยังสนุก

“เด็กอนุบาลจะเรียนแบบ Play-based เพราะเขายังอ่านหนังสือไม่ออก จากนั้นในลำดับชั้นถัดมาค่อยปรับเข้ากับหนังสือวิชาภาษาอังกฤษ ไทย คณิต พอถึงประถม 4-6 บทเรียนก็จะน้อยลง แล้วเริ่มขยับมาเรียน Project-based มากขึ้น ไปจนถึงมัธยมก็ค่อยเชื่อมโยงมาที่ Problem-based ด้วย เช่น ในส่วนของ Project-based ถ้าเราใช้สื่อภาพยนตร์เป็นตัวสอน เราตั้งคำถามว่าสิ่งที่ได้จากการดูภาพยนตร์คืออะไร สื่อมีทั้งแง่บวกแง่ลบ แต่คุณจะเลือกเสพอะไรให้เกิดประโยชน์กับตัวคุณ

“เราให้เด็กเรียนสนุก ไม่มานั่งเครียด ไม่ต้องมีการบ้าน สิ่งที่ผมสอนให้เด็กคิด เช่น วันนี้ฉันเรียนอะไรบ้าง แปลกใจเรื่องอะไร สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดจากบทเรียนหรือบทเรียนที่ชอบมากคืออะไร หรือเด็กอาจจะไม่แน่ใจว่าได้เรียนอะไรไปก็ได้”

ครูวิลลี่อธิบายต่อว่า ถ้าเด็กได้มีโอกาสเรียนจากตัวเอง พวกเขาก็จะสนุกลุกนั่งสบาย พร้อมที่จะต่อยอดจินตนาการ หรือแม้กระทั่งบอกผู้ใหญ่ได้ว่าต้องการอะไรจากการศึกษา

สำหรับครูวัย 59 PBL เกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ เด็กเรียนรู้ได้จากทุกที่ ถ้าพาเด็กเข้าป่า ก็สามารถออกแบบให้เด็กไปเก็บใบไม้มา ถ้าจะสอนคณิตศาสตร์ก็ถามเด็กว่าใบไม้มีรูปทรงอย่างไร สี่เหลี่ยมหรือสามเหลี่ยม ถ้าสอนเรื่องสีก็ได้วิชาศิลปะ แล้วคุณสมบัติที่ใบไม้ใบหนึ่งจะทำได้คืออะไรบ้าง นี่คือวิชาวิทยาศาสตร์

การเรียนการสอนทุกอย่างเกิดจากแค่ใบไม้ใบเดียวเพียงเท่านั้น – ครูวิลลี่สรุป

แถมใบไม้ชิ้นนั้นก็ไม่ได้แบกภาระอันหนักหน่วงของการสอบมาให้กับเด็ก

“ผมจะไม่ใช้การสอบ แต่จะดูจากชิ้นงาน ลองสังเกตความตั้งใจของเขาและพูดคุยซักถาม คะแนนจะให้ในวัน open house ที่เชิญผู้ปกครองมาตรวจงาน เขาจะได้ดูรูปถ่าย หลักฐาน และสิ่งที่เด็กทำไว้ และเด็กเองจะต้องอธิบายผู้ปกครองให้ได้ด้วยว่าเรียนรู้อะไรมาบ้าง”

ชุมชนและครอบครัวเองก็มีส่วนเป็นอย่างมากในการศึกษาของเด็กหนึ่งคน เพราะเด็กอยู่ในโรงเรียน 8 ชั่วโมง แต่ 16 ชั่วโมงอยู่กับที่บ้านและครอบครัว

“ทำอย่างไรชุมชนถึงจะซึมซับกระบวนการไปกับเราได้ ในเวลาเรียนบางวัน เราเลยเชิญให้เขามาดูว่าลูกเรียนอะไร เวลาตรวจงานให้พ่อแม่มาตรวจกับเราสิ นี่เห็นไหมลูกคุณทำชิ้นงานเป็นอย่างไรครับ ถ้ามีเกรดถึง 4 ผู้ปกครองให้เกรดเท่าไหร่ เขามีสิทธิที่จะชื่นชม ให้คะแนนชิ้นงาน ไม่ใช่ว่าเรามีสิทธิในการตัดสินอย่างเดียว”

ในช่วงแรกอาจเกิดปัญหาผู้ปกครองต่อต้านการเรียนการสอนลักษณะนี้อยู่บ้าง แต่ท้ายสุดทุกอย่างจะคลี่คลาย

“เขาก็จะคิดว่า เฮ้ย…ฉันส่งลูกมาเรียน ฉันไม่มีเวลาว่างนะ แต่ถ้าเราจูงใจให้เขามาดูบ่อยๆ และเห็นว่าเราใช้กระบวนการจิตศึกษา เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กในทางความอ่อนโยนหรือคำพูด เช่น พ่อแม่บอกว่าเมื่อก่อนไม่เห็นมากวาดบ้านเลย แต่เดี๋ยวนี้ลูกเริ่มรู้จักมาล้างจาน พับผ้า

“บางทีผมก็ถามเขาไปเลยว่า ผู้ปกครองคิดเห็นอย่างไร และอธิบายว่านี่คือสิ่งที่ผมมอบให้กับลูกเขา มันอาจจะไม่ดีนักในเชิงวิชาการ แต่จะดีกับทักษะชีวิตและวิชากินของเขา เมื่อชุมชนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมตรงนี้ร้อยละ 80 เขาก็เริ่มเข้าใจเรา เพราะเราทำให้เขาเห็นว่าสิ่งนี้เกิดประโยชน์กับลูกเขา”

ครู = เด็ก

“บรรยากาศเป็นสิ่งที่สำคัญนะ ห้องเรียนที่เป็นสี่เหลี่ยมน่ะ มีหน้าห้อง หลังห้อง ทำให้มีเด็กหน้าห้อง เด็กท้ายห้อง ทำอย่างไรไม่ให้มีบรรยากาศแบบนั้น ครูก็ต้องเปลี่ยนกระบวนการ การที่เด็กนั่งบนเก้าอี้คือการอยู่ในกรอบที่บังคับ เราอย่าเรียกมันว่าพื้นที่ปลอดภัยเลย แต่ถ้าเรามานั่งในพื้นที่วงกลม ทุกคนเสมอกัน คุยกันเห็นหน้ากัน มันก็จะเริ่มสลายกรอบออกไป”

ครูวิลลี่สลายเสียใหญ่โตจนเด็กในห้องสามารถนอนกลิ้งอ่านหนังสือไปกับพื้นได้ในคาบสังคมที่มีเนื้อหาไม่เบานัก บรรยากาศผ่อนคลายนั้นสร้างได้จากเสียงหัวเราะและการยกมือถามตอบของเด็กๆ ที่นั่งล้อมเป็นวงกลมด้วยท่าทีขี้เล่นปนจริงจัง

“ผมอยากให้เขารู้ปัจจัยพื้นฐานว่า ที่เขาอยู่กับปัจจุบัน เขาพอใจไหม ถ้าเขาไม่พอใจในตำแหน่งที่เขาอยู่ในปัจจุบันมันก็ไม่มีความหมาย ฉันอยู่ได้แม้ฉันไม่มีแม่ ไม่มีพ่อ หรือคิดให้ได้ว่าเวลาที่ให้การบ้านไปแล้วไม่ทำ แต่ไปดูทีวี ไปซิ่งข้างนอกแทน เขาพอใจจุดนี้ไหม อย่างที่สองเขาพอใจในสิ่งที่เขาได้รับไหม ได้ 5 บาท 10 บาทมาโรงเรียน ไม่พอใจหรือพอใจ เพราะอะไร

“เขาต้องรู้ก่อนว่าสาเหตุของปัญหาคืออะไร สุดท้ายการที่เขามาเรียนที่โรงเรียนนี้ เขาพอใจไหม ถ้าไม่ บอกมาเลยว่าทำไม อยากเรียนแต่วิชาการไหม ได้ ครูจะเน้นให้ เด็กสามารถเอาแผ่น post it มาเขียนได้เลยว่าพอใจหรือไม่พอใจอะไร ผมเปิดโอกาสให้เด็กวิพากษ์ผมได้ ว่าผมหัวล้าน พุงโย้ก็ยังมี ก็มันเป็นเรื่องจริงที่เขาเห็นนี่ (ยิ้ม)”

ครูยิ้มให้กับคำถามกวนประสาทโลกแตกของเด็ก

ครูแกล้งแหย่กลับไปอย่างแนบเนียน

ครูไม่เค้นคำตอบที่ถูกต้องชัดเจนจากเด็ก

ครูช่วยบีบอัดความแคบของคำถามให้เด็กลองคิดอีกแบบ

กลไกการปฏิบัติต่อกันและกันอย่างเป็นมนุษย์ที่ผิดได้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ห้องเรียนของครูวิลลี่’

ถ้ารวมกิจกรรมจิตศึกษาที่ให้เด็กนำดอกไม้ ใบไม้ และหลอดจากบ้านตัวเองมาทำงานศิลปะ คำถามที่ว่า “เคยมีเด็กๆ มาบอกครูบ้างไหมว่าเรียนแบบนี้สนุกจังเลย” คงจะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

“เราถามเขาเลยว่า เรียนแบบนี้กับเรียนแบบเก่าต่างกันอย่างไร แบบไหนสนุกกว่ากัน แบบไหนที่อยากมาเรียน เราตั้งคำถามใหญ่ทุกครั้งว่ามาเรียนแล้วได้อะไร นั่นคือสิ่งที่เราอยากรู้ ซึ่งเคยมีเด็กที่ตอบว่ามาโรงเรียนได้กินข้าว มีที่นอนกลางวัน มาเจอเพื่อน ไม่ต้องร้องไห้อยู่บ้าน ซึ่งมันสะเทือนเรานะ แปลว่าสิ่งนี้มันมีคุณค่ามากกว่าแค่การเป็นโรงเรียน”

อยากเป็นครูจนตาย แม้จะไม่ได้อยู่ในโรงเรียน

ศาสตราจารย์โจเซฟ สติกลิตซ์ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เคยบอกไว้ว่า “การเลือกที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่ง คือการเลือกเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีฐานะดี” บริบทของนักเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนผานกเค้าที่คนเมืองอย่างเรามองเห็นผาสูงใหญ่ ธรรมชาติเป็นวอลเปเปอร์ให้กับสนามหญ้ากว้าง แล้วเผลอคิดโรแมนติกไปว่ามันช่างดีงาม จริงๆ แล้วมีความเจ็บปวดและความอยุติธรรมที่ซ่อนอยู่ในตำราเรียนและสถิติเชิงวิชาการ

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชี้ว่า เด็กๆ ที่อยู่ในครัวเรือนที่รวยที่สุด 10 เปอร์เซ็นต์แรกของไทย มีอัตราการเข้าเรียนสุทธิในระดับปริญญาตรีสูงถึง 65.8 เปอร์เซ็นต์ แต่เด็กๆ ที่อยู่ในครัวเรือนที่จนที่สุด 10 เปอร์เซ็นต์สุดท้ายของประเทศ มีอัตราการเข้าเรียนสุทธิในระดับมหาวิทยาลัยเพียง 4.2 เปอร์เซ็นต์

“ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนมา มีเด็กที่เรียนที่นี่แล้วไปต่อจนจบปริญญาตรี 20 คนเท่านั้น”

ครูวิลลี่ให้ข้อมูล แต่สายตาของครูอายุใหญ่ใจเด็กนั้น มุ่งมั่นว่าจะใช้การเรียนการสอนในยุคใหม่และจิตศึกษาปลอบประโลมหัวใจของเด็กน้อย

เด็กอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นี่คือความเหลื่อมล้ำมหาศาลในด้านอภิสิทธิ์ของการเข้าถึงการศึกษา

“บางทีเราปลอบเขาได้แค่ว่า ไม่เป็นไรนะ คนเราก็ต้องสู้ชีวิตต่างกัน เพราะเราไม่สามารถทำได้มากกว่านั้น ถ้าเขามีปัญหาครอบครัว เช่น พ่อกับแม่หย่ากัน พ่อติดคุก อยู่กับยาย บ้านไม่เคยมีไฟฟ้าใช้ และต้องเลี้ยงวัวตลอดชีวิต

“การกอดก็เป็นการเยียวยาอย่างหนึ่งนะ เขาได้มาระบายกับเรา เราก็คิดว่าช่วยได้เท่าที่ช่วย แต่บางครั้งบางคนแค่กอดก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว เราต้องมองเด็กและต้องหาเขาให้เจอ”

ซึ่งทั้งครูทั้งเด็กก็สาหัสไม่แพ้กัน

“ผมอาจจะเคยเดินบนกองขยะมาก่อนเขา เข้าใจว่าเด็กที่เคยเก็บของบนกองขยะมาเล่นเขารู้สึกอย่างไร แล้วเราข้ามจุดนั้นมาถึงปัจจุบันได้อย่างไร เรามองเพื่อนที่มีตำแหน่งการงานสูงกว่าอย่างไร ผมเข้าใจว่าเด็กรู้สึกมีปม เราอธิบายและปลอบเขาได้ เพราะเราก็เคยเป็นเด็กมีปมมาก่อน

“ตอนที่เข้าห้องเรียนก่อการครู ‘ห้องเรียนสร้างสรรค์’ ของ ‘ก๋วย’ พฤหัส พหลกุลบุตร จากกลุ่มละครมะขามป้อม ทำให้เรารู้ว่าเรามองตัวเองผิดนะ ตัวตนมันคือสิ่งที่อยู่ลึกลงไปมากกว่านั้นอีก แล้วก็มีความฟูเกิดขึ้นในหัวใจ เราค้นพบว่าสิ่งที่เราอยากจะทำจริงๆ คืออย่างอื่น เมื่อค้นพบสิ่งนี้ เราจึงนำกระบวนการนี้มาใช้กับนักเรียน”

กับอีกคลาส ‘เข้าไปภายในของตนของคนเป็นครู’ ของ ‘ครูน้อง’ ธนัญธร เปรมใจชื่น บันดาลใจสอนให้เด็กทำหน้ากากเพื่อระบายความในใจ

“ถ้าอยู่ดีๆ เราให้เขาพูดความในใจที่กระทบกับเขา ต่อให้อยู่นิ่งๆ เด็กก็จะไม่พูด แต่พอมีหน้ากากกระดาษใบเดียว เด็กพูดแล้วน้ำตาไหลเลย เด็ก 13 คน นั่งอยู่ด้วยกัน ร้องไห้ 10 คนน่ะ ในบรรยากาศแบบนี้เราสอนให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยนลงได้”

ตัวครูก็ต้องเยียวยาตัวเองไปอย่างตลกและอ่อนโยน ครูวิลลี่ที่ตอนนี้เหมือนรับ PBL มาใช้กับตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม ค้นพบว่าตัวเองก็โตขึ้นในมิติของมนุษย์และในฐานะครูของเด็กๆ

“หนึ่ง – มันทำให้ผมเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่งกับการสอน ต้องหาความรู้มาเติมตลอดเวลา สอง – ทำอย่างไรให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ สาม – ทำอย่างไรถึงจะส่งเสริมให้เขาได้มีวิชากินมากกว่าวิชาการ และมีทักษะชีวิตที่จะทำให้เขาอยู่รอดได้ในสังคมปัจจุบัน

สุดท้ายคือทำอย่างไรที่เราจะช่วยให้เขามองเห็นโลกที่กว้างขึ้น ผมมักจะไปหาว่าที่ไหนบริจาคหนังสือบ้าง มีทุนหรืออุปกรณ์สำหรับเด็กยากจนหรือไม่มีพ่อแม่ไหม เช่น วันนี้ถ้าเราจะทำขนมกินกัน ผมก็จะไปหาครูที่มีความรู้เรื่องทำขนมมาสอนให้เขา เด็กจะได้กินขนมทุกคน”

เมื่อก่อนโรงเรียนอาจจะใช้คำว่า ครูเปลี่ยน นักเรียนเปลี่ยน เหมือนเป็นการตัดสินเด็กไปก่อน ทำไมเด็กต้องเปลี่ยน ครูวิลลี่มองว่าจะไปตัดสินเขาได้อย่างไรในเมื่อเรายังไม่อยากให้ใครมาตัดสินตัวเราเลย เขาจึงมองกระบวนการนี้ว่าเป็นการ ‘ปรับ’ โดยอาศัยการเรียนรู้ร่วมกัน เพราะว่าในห้องเรียน ครูไม่ได้มีหน้าที่ถ่ายทอดอย่างเดียว

“ผมเรียนรู้เรื่องปลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์จากเด็กนะ เพราะผมไม่เก่งเท่าเขา แล้วเขาก็สามารถเป็นครูมาถ่ายทอดความรู้ให้เพื่อนได้ด้วย เด็กใช้มือถือหรือคอมพิวเตอร์เก่งกว่าผม เข้าโปรแกรมตัดต่อเป็น ไม่ใช่คิดว่าครูเก่งทุกอย่างแล้วจะต้องเป็นผู้นำ แพ้ไม่ได้ แพ้ไม่เป็น

“ถ้าเขาดูการ์ตูน ผมก็ต้องดูการ์ตูนเหมือนกันนะ วันพีซ โปเกมอน เด็กดูละครอะไร เราก็ต้องคุยกับเขาได้ เพื่อให้เป็นพวกเดียวกับเขา คุยเรื่องการ์ตูน เกม หรือกีฬาก็ได้ เด็กเรียนรู้อะไร เราก็พยายามศึกษาให้เข้าใจเขาก่อน”

โลกอีกฟากฝั่งของภูเขาหรือโลกที่ติดกับภูเขาก็เป็นโลกที่ต้องต่อสู้ด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นเรื่องน่าโมโหที่ต้นทุนทางสังคมของเด็กมีผลต่อการเข้าถึงการศึกษาและโอกาสในการสร้างอาชีพที่ดี เพราะความไม่สมเหตุสมผลของการจัดการการศึกษาของรัฐ

แต่การแหวกไผ่ได้เกิดขึ้นแล้ว

ครูวิลลี่ที่เคยแน่วแน่ว่าจะไม่มีวันเป็นครู กลับเป็นครูมาถึง 34 ปี เป็นสมาชิกที่อายุออกจะเกินน้องๆ ครูคนอื่นในโครงการก่อการครูเสียด้วยซ้ำ

เขาไม่ได้เอ่ยถึงความรักในอาชีพนี้เลย เราเองก็ไม่ได้ถาม แต่มีคำตอบสั้นๆ ที่ทำให้คำว่า ‘ครูวัยเกษียณ’ เป็นหมันไปในทันทีที่ฟังจบ

“อยากเป็นครูจนตาย แม้จะไม่ได้อยู่ในโรงเรียน”

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ