คุยกับ ‘ครูฝึก’ ที่อยากตื่นขึ้นมาเป็นครูทุกวัน
‘ครูฟอร์ด–จ่าสิบโทปริญญา จันทร์เปรียง’ แห่งศูนย์การสุนัขทหาร
“ผมไม่ชอบ วันศุกร์ กับ วันเสาร์ เพราะว่าวันศุกร์ ทำให้รู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุด พอเริ่มวันอาทิตย์ผมจะตื่นเต้น เพราะว่ารู้แล้วว่า พรุ่งนี้จะเป็นวันจันทร์”
คือถ้อยคำบอกเล่าเรื่องการทำงานในอาชีพครูสไตล์ ‘จ่าสิบโทปริญญา จันทร์เปรียง’ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ ‘ครูฟอร์ด’ ครูทหารในศูนย์การสุนัขทหาร กรมการสัตว์ทหารบก ทำหน้าที่เป็นครูฝึกผู้ทำงานร่วมกับสุนัขและทหารมาแล้วกว่า 8 ปี และยังคงมีไฟโชติช่วงในการตื่นขึ้นมาทำงานสอนด้วยความสนุกสนานที่ได้สร้างการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
แรงขับเคลื่อนนั้น ไม่ได้มาจากความสมบูรณ์พร้อมของระบบหรือความสะดวกสบายของชีวิตราชการ แต่คือความหมายเล็กๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อเขาเห็นนักเรียนของเขา “ได้บางอย่างไปจริง ๆ” ไม่ใช่แค่ความรู้ตามหลักสูตร แต่คือทักษะ ความเข้าใจ และการเรียนรู้ที่สามารถส่งต่อจากห้องฝึกไปสู่สนามชีวิตจริง
เมื่อเราเริ่มพูดคุยถึงเส้นทางของครูฟอร์ดที่เลือกจับปากกาแทนปืนในระบบกองทัพ ท่ามกลางวัฒนธรรมแบบทหารที่แน่นหนา ครูฟอร์ดเล่าว่า ตนเองเคยเป็นเด็กกิจกรรมในโรงเรียนมัธยม ชอบตั้งคำถาม ชอบมองหาสิ่งที่ควรเปลี่ยน จนเมื่อเข้าสู่รั้วการเรียนด้านการทหารตามคำแนะนำของครอบครัว เขากลับเริ่มมองเห็นพื้นที่ที่การศึกษาและการเรียนรู้ว่าสามารถมีบทบาทได้ในระบบนี้เช่นกัน
“เราอยากเป็นครูตั้งแต่เด็ก แต่ครอบครัวอยากให้เรียนทหาร/ตำรวจ ตอนนั้นก็คิดว่า หรือเราจะต้องทิ้งความฝันการเป็นครูไปแล้ว แต่พอมาเห็นว่า มีหน่วยที่ทำงานด้านการเรียนรู้จริงๆ เราก็เลือกทางนี้เลยครับ แทนที่จะไปเป็นทหารทั่ว ๆ ไป จับปืน เราก็มาเป็นทหารจับปากกา จับไวต์บอร์ดแทน”
เมื่อครูฟอร์ดเลือกและเดินทางเส้นนี้ การเป็น “ครูฝึก” สำหรับเขากลับไม่ใช่แค่คนที่สอนตามคู่มือ แต่คือการเข้าไปศึกษาปรับเปลี่ยนโครงสร้างรายวิชาใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เนื้อหาการเรียนรู้สอดคล้องกับโลกที่กำลังเปลี่ยนไป แม้จะถูกบอกว่า “หลักสูตรนี้ใช้มานานแล้ว เปลี่ยนไม่ได้หรอก” เขาก็ยังพาตัวเองไปขอคำแนะนำจากครูหลายคน ลงมือปรับเนื้อหาให้เห็นผลจริง และผลักดันให้สิ่งนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของคู่มือการสอนฉบับใหม่ที่สร้างความสัมพันธ์ในระหว่างเรียนรู้ของครูกับนักเรียนได้
ในบางวัน ครูฟอร์ดอาจดูเหมือนครูฝึกทหารธรรมดา ๆ ที่เดินตรวจแถวหรือเรียกแถวสุนัขฝึก แต่ในอีกมุมหนึ่ง เขาคือนักเรียนรู้ที่ยังตั้งคำถามกับระบบ เป็นครูที่ยังเฝ้ามองผู้เรียน และคิดหาท้าทายตัวเองเสมอเพื่อสร้างห้องเรียนที่มีความหมาย
บทสัมภาษณ์นี้จะพาเราไปฟังเรื่องราวของครูฟอร์ดว่าการทำงานในระบบราชการแบบทหาร การสอนนักเรียนให้เข้าใจทั้งมนุษย์และสัตว์ และเหตุใด “ความสุข” ของครูอย่างครูฟอร์ด จึงไม่ใช่วันที่ได้พักผ่อน แต่คือวันที่ได้ลุกขึ้นมาทำงานอีกครั้ง
ครูฟอร์ดสอนอะไร ในศูนย์การสุนัขทหารฯ
เนื้อหาในภาพรวมที่ผมสอนคือเรื่องเฉพาะทางที่เกี่ยวกับสุนัขทั้งหมดเลย โดยหลักๆ ก็จะเป็นวิชา ‘จิตวิทยาสุนัข’ แล้วก็การฝึกการใช้งานสุนัขด้านการรักษาความปลอดภัย โดยในห้องเรียนหนึ่ง ๆ ก็จะมีผู้เรียนหลาก หลายช่วงอายุ นักเรียนที่ผมเคยสอนอายุมากสุด คือ 57 ปี น้อยที่สุดคือ 19 ปี คละกันไป
มีการจัดกระบวนการในห้องอย่างไรบ้าง
ด้วยนักเรียนของผม เมื่อเรียนจากผมเสร็จแล้ว เขาต้องไปสอนสุนัขของตัวเองต่อ ดังนั้นในห้องเราจะพยายามหาเครื่องมือหรือวิธีการบางอย่างว่าจะทำอย่างไรให้ ‘สุนัข’ กับ ‘นักเรียน’ สามารถเชื่อมโยงสัมพันธ์กันได้ หรือเราจะทำอย่างไรให้สุนัขกับนักเรียนเข้าใจกันได้ นี่คือโจทย์หลักของผม
สำหรับเรื่องกระบวนการ ผมได้เทคนิคหรือว่าตัวกิจกรรมบางส่วนมาจาก ‘ก่อการครู’ เยอะทีเดียว อย่างครั้งหนึ่งที่ได้ไปเข้าร่วม ผมได้ทำกิจกรรมเรื่อง ‘เสียง’ การเรียนรู้ภายใน เราก็มองว่ากระบวนการนี้ตอบโจทย์ดีตรงที่สุนัขก็ไม่สามารถพูดได้ แต่เขาสามารถแสดงอารมณ์ผ่านแววตา น้ำเสียง และท่าทางของเขาได้ เราก็เลยหยิบพวกนี้มาเป็นกิจกรรมในชั้นเรียน
หรืออย่างตอนนั้นอาจารย์โอ๋ ก่อการครู อบรมเรื่องของสอนการแสดง ก็ได้เรื่องของการนับเลขที่สื่ออารมณ์ออกมา เพราะสุนัขก็ฟังคำพูดเราไม่รู้เรื่องเหมือนกัน แต่เขารับรู้เราผ่านน้ำเสียงของเราที่เปล่งออกไป เราก็เลยเอามาประยุกต์ใช้เป็นอีกเครื่องมือมือหนึ่งในการสอน ซึ่งพบว่าทำให้นักเรียนเข้าใจว่าเวลาต้องการให้สุนัขทำอะไรหรือไม่ต้องการให้ทำอะไร น้ำเสียงของเขามีผลต่อสุนัขมาก ๆ ต่อการเรียนรู้ แต่กระบวนการที่ใช้ของผมก็ปรับไปตามบริบทของผู้เรียนและเรื่องด้วย โดยที่โจทย์สำคัญยังคงเดิม คือให้เขาเห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับสุนัข
มีห้องเรียนครั้งไหนที่รู้สึกประทับใจมาก อยากแบ่งปันไหม
ผมประทับใจทุกห้อง ทุกคลาสเลย เพราะแต่ละคลาสก็จะไม่เหมือนกัน บางคลาสนักเรียนดื้อ บางคลาสนักเรียนก็เรียบร้อยตั้งใจเรียน แต่ในคลาสเด็กดื้อ เราก็ไม่ได้รู้สึกท้ออะไร กลับรู้สึกว่ามีความท้าทายไปอีกแบบหนึ่ง ในความดื้อของเขามันก็แฝงไปด้วยความเป็นมนุษย์ที่ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ต้องการเป็น ‘คนสำคัญ’ เราในฐานะครูสามารถทำให้เขารู้สึกว่า เขาก็เป็นคนสำคัญคนหนึ่งได้ และเราก็เห็นแล้วว่าเราสามารถเปลี่ยนคนทุกคนได้
ตอนไปอบรมมีคำพูดหนึ่งที่บอกว่า ‘เป็นครูอย่าสิ้นหวังกับนักเรียน’ ผมยึดสิ่งนี้เป็นแนวคิดหลักว่า ไม่ว่าเด็กจะมีปัญหาขนาดไหน จะตั้งใจเรียนขนาดไหน ก็จะมีความหวังกับเขาเสมอ ผมเลยประทับใจทุกคลาสเลย เพราะผมมีความหวังในทุกครั้งที่ได้สอน
ความยากหรือข้อท้าทายของการเป็นครูคืออะไร
ผมว่าถ้าในเรื่องของการสอนคงจะมีเรื่องยากอยู่หลายเรื่อง เช่น ปัญหาคลาสสิกอย่างสอนไม่ทัน แต่สุดท้ายแล้วผมก็มองว่า เราต้องคิดกับนิยามของครูกันใหม่ ถ้าเราเป็นครูที่เป็นผู้รู้ทุกอย่าง เราสอนไม่ทันแน่นอน เพราะถ้านักเรียนจะรู้อะไรต้องมารู้จากเรา เราจึงจะต้องเปลี่ยนใหม่ ทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่าเขาเป็น ‘นักแสวงหา’ อยากเรียนรู้ด้วยตัวเองเพิ่มเติมได้ เราในฐานะครูมีหน้าที่จุดประกาย จุดประเด็นให้เขาไปเรียนรู้ต่อ ดังนั้นผมว่าความท้าทายในการเป็นครูมีอยู่ทุกวันอยู่แล้ว คือเราจะทำอย่างไรไม่ให้การเป็นครู เป็นแค่ผู้ให้ความรู้หรือถ่ายทอดความรู้อย่างเดียว โลกเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องให้เครื่องมือหรือมุมมองแก่เขาในการที่จะอยากไปแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง ให้เครื่องมือเรื่องการแสวงหาแหล่งข้อมูล เรื่องของการคิดวิเคราะห์ เรื่องเชิงความคิดเป็นหลักสำคัญให้เขาดีกว่า
อย่างผู้เรียนของโรงเรียนนี้ ด้วยเป็นโรงเรียนทหารก็จะมีหลักการเรื่องฝึกความอดทน ซึ่งความอดทนที่ว่านี้ก็ไม่ควรเป็นแค่การอดทนทางร่างกาย แต่เราก็พูดคุยกันถึงความอดทนทางด้านจิตใจ ส่วนหนึ่งคือความอดทนในการแสวงหาความรู้เพื่อขจัดความไม่รู้ของตนเอง เพราะพอหลังจบที่โรงเรียนนี้ เขาจะได้สุนัขไปอีกหนึ่งตัวที่ต้องไปฝึก เพราะฉะนั้นอีกหนึ่งตัวก็คือไปเป็นคู่บัดดี้กัน ไปทำงานด้วยกัน ทีนี้เขาจะไม่ได้ทำงานเพื่อตัวเขาคนเดียวแล้ว เขาจะต้องดูแลอีกหนึ่งชีวิตที่เขาได้ไป งานในวันข้างหน้าเขาไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว เพราะต้องดูอีกหนึ่งชีวิต พูดด้วยกันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเป็นนักแสวงหา เป็นนักอดทน นักสร้างสรรค์ พวกนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ดูแลชีวิตเขาและดูแลคู่พาร์ตเนอร์ไปได้ตลอด ตัวทักษะหรือเครื่องมือพวกนี้เมื่อมันเกิดแล้วมันก็เกิดอยู่ตลอด ครูคือคนที่ทำให้เกิดพื้นที่ของสิ่งเหล่านี้
การที่มีผู้เรียนเป็นทหารมีความท้าทายหรือไม่อย่างไร
โจทย์ที่ท้าทายพอสมควรคือทหารมีกรอบด้านความคิดที่ถูกวางไว้ตามระบบระเบียบ มีวัฒนธรรมที่ค่อนข้างแข็งตัว อย่างวัฒนธรรมใต้บังคับบัญชา-ผู้บังคับบัญชา เราเลยความรู้สึกว่า จะทำอย่างไรให้ทหารกับความคิดสร้างสรรค์สามารถไปด้วยกันได้
วัฒนธรรมที่ว่านี้ ส่วนหนึ่งก็ทำให้เวลาที่จะให้นักเรียนทำอะไรสักอย่าง ผมจะต้องทำความเข้าใจกับผู้เรียนด้วย เช่น เวลาเรามีเคสกรณีศึกษาให้เขาทำ เราเข้าไปเป็นตัวละครในเคสนั้นให้เขา เราต้องทำความเข้าใจก่อน เหมือนพยายามคุยกับเขาว่า ‘ตอนนี้ครูไม่ใช่ครูแล้วนะ ครูเป็นแค่ตัวละครอยู่ในเรื่องนี้ ซึ่งนักเรียนจะทำอะไรกับครูก็ได้ นักเรียนทำเลยเต็มที่ ถ้าในสถานการณ์จำลองนักเรียนประเมินแล้วว่าตัวละครนี้เป็นบุคคลอันตราย นักเรียนก็จัดการได้เลย ล็อกตัวละครนี้ก็ได้’ ซึ่งจะมีนักเรียนบางกลุ่มที่โอเค กับนักเรียนบางคนที่ยังติดกรอบตัววัฒนธรรมตัวนี้อยู่ ก็จะไม่กล้าทำอะไร
พอมีกรอบด้านความคิดมาก ๆ ก็มีผลต่อเวลาที่เราต้องการให้เขามีความคิดสร้างสรรค์หรือริเริ่มอะไรใหม่ ๆ หรือว่าในบทเรียนที่ต้องการความอ่อนตัวมาก ๆ บางทีนักเรียนก็อยากให้เราระบุไปเลยว่าให้ทำแบบไหน 1- 2- 3 ดังนั้นบทเรียนไหนที่เราอยากให้นักเรียนลองเป็นคนหาคำตอบด้วยตัวเองก่อน มันก็จะทำงานยากหน่อย
แต่ความง่ายก็มีนะ พอเป็นทหารการจัดการชั้นเรียนง่ายมาก เพราะว่ามีเรื่องของความเป็นทหารมาเป็นกรอบให้อยู่แล้วว่า เมื่อถึงเวลาเข้าเรียนนักเรียนทุกคนก็จะต้องเข้าทุกคน คือมีวินัยในการเข้าเรียนหรืออยู่ในการช่วงเวลาเรียนอย่างเต็มที่
นอกจากในระดับห้องเรียน ครูฟอร์ดคิดว่าอยากเห็นการศึกษาของกองทัพไปในทิศทางไหน
ผมว่าเรื่องความยืดหยุ่นของวัฒนธรรมการรับคำสั่ง มีประโยคที่บางคนพูดว่า ‘คำสั่งจากผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์’ สิ่งที่เจอก็คือ บางคนที่เขาอยู่กับการรับแล้วก็ทำในสิ่งที่โดนสั่งมาตลอดแบบนั้น มันส่งผลต่อเรื่องของการคิดมาก ๆ บางคนพอถึงเวลาที่ต้องได้คิดเองมันกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขามาก เลยคิดว่าถ้าแนวคิดเรื่องสายบังคับบัญชามีความยืดหยุ่นมากกว่านี้ ให้ทหารได้มีโอกาสได้คิดหรือว่าสร้างสรรค์บางอย่างด้วยตัวเอง แล้วลงมือปฏิบัติ ผมว่าจะมีผลต่อการพัฒนาการศึกษาในกองทัพ
แต่จริง ๆ มันไม่ใช่แค่กองทัพหรอก องค์กรใด ๆ ไม่ว่าจะภาครัฐหรือเอกชนเหมือนกัน ถ้าคนในองค์กรเริ่มไม่คิดแล้ว เริ่มรอแต่คำสั่ง องค์กรนั้นก็จะขับเคลื่อนไปได้ช้ามาก เพราะจะต้องรอคนใดคนหนึ่งเป็นคนคิดให้ ถ้าทุกคนมีอำนาจในการคิด ตระหนักอยู่กับตัวเองว่าตัวเองมีสิทธิ์คิด ทุกคนก็จะเริ่มมองหาปัญหาแล้วก็แก้ เพราะทุกคนมีสิทธิ์คิดและได้ลองใช้ความคิดนั้นในการปฏิบัติ
อีกประเด็นหนึ่งคือว่าเราจะทำอย่างไรให้กองทัพมีมาตรฐานการศึกษาที่สากลขึ้น ซึ่งตอนนี้ภายในตัวกองทัพบกก็พยายามปรับคุณภาพการศึกษาให้สอดรับกับโลกภายนอกมากขึ้นอยู่ ผมเองก็มีโอกาสเข้าไปสัมมนาในส่วนการศึกษาของกองทัพของส่วนกลางบ้าง ได้มีการพูดประเด็นอย่าง คุณภาพการศึกษาในกองทัพบก คุณภาพการศึกษาควรจะเป็นอย่างไร เมื่อโลกภายนอกหมุนไปในจังหวะที่ต่างกัน ได้ ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ทิ้งอัตลักษณ์ความเป็นทหารของกองทัพเรา
แปดปีที่ผ่านมาในฐานะครูฝึกแห่งกรมการสัตว์ทหารบก ได้เรียนรู้หรือค้นพบอะไรบ้าง
ค้นพบว่าตัวเองเป็นคนดื้อที่พร้อมจะทำสิ่งที่ยากเสมอ ชอบตั้งคำถามกับสิ่งที่ทำมาโดยตลอด เช่น วัฒนธรรมองค์กรที่ทำมาอยู่ตลอด ประเพณีอะไรที่ทำมาอยู่ตลอด การปฎิบัติงานที่ทำมาอยู่ตลอด เราก็จะเกิดคำถามว่า ‘ใครเป็นคนพาทำคนแรก ทำด้วยเหตุผลอะไร’ แล้วสุดท้ายพอไล่ไปจนเกิดไอเดียว่า ‘มันเปลี่ยนได้นี่นา เราลองเปลี่ยนไหม’ ระหว่างเปลี่ยนกับไม่เปลี่ยนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร จะเสมอกันไหม ถ้าคิดแล้วได้คำตอบกับตัวเองมาว่าเปลี่ยนได้ โอเค เราก็จะหาแนวทางปรับเปลี่ยนกันไป แต่ถ้าหากได้คำตอบเดียวมาว่า ‘ไม่ต้องเปลี่ยน เพราะเขาทำกันมาแบบนี้ตลอด’ นั่นเริ่มจะกลายเป็นวิกฤติ ชีวิตผมก็จะเริ่มปั่นป่วน (หัวเราะ)
นอกจากการได้ค้นพบคำถามที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง อีกเรื่องที่ได้เรียนรู้คือ เรามีความรู้สึกว่า อะไรที่เป็นผลกระทบต่อคนอื่นหรือส่วนรวม เราอยากที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม พอทำแล้วมันกระทบในเชิงบวกต่อคนอื่น เราก็จะมีความรู้สึกว่าอยากทำต่อ ต่อให้เรารู้สึกว่าเหนื่อยหรือหมดแรงก็ตาม เราก็จะทำต่อ การได้ทำไปเรื่อยๆ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เท่านี้เราก็รู้สึกว่าลงตัวแล้วนะชีวิต สนุกดี
ครูทหารอย่างครูฟอร์ด นอกจากการสอนแล้ว มีงานอดิเรกอะไรบ้าง
อันดับแรกเลย คือ อ่านหนังสือ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ อ่านได้ทุกแนว ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นสนใจอะไร เช่น ถ้าเราไม่อยากให้นักเรียนเขียนสรุปอย่างเดียว แต่อยากให้นักเรียนคิดเป็นภาพออกมา เราก็ไปซื้อหนังสือ visual thinking มานั่งอ่าน มาทำความเข้าใจ มาฝึกกับตัวเอง แล้วค่อยพานักเรียนทำ นอกจากหนังสือที่เกี่ยวกับการออกแบบการเรียนรู้ทั้งหมด ผมก็อ่านตั้งแต่ หนังสือการ์ตูน ประวัติศาสตร์ วิชาการ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ
นอกจากการอ่านแล้วก็ชอบเล่นดนตรีไทยวงเครื่องสาย แต่ถามว่าเก่งไหมก็คงไม่ เน้นเล่นแบบมีความสุข แล้วก็ชอบวาดรูป พวกงานสีน้ำ ยามว่างไม่รู้จะทำอะไรผมก็ไปลงคอร์สอบรมนู่นนี่นั่นไปเรื่อย ๆ ให้ตัวเองไม่ว่าง (หัวเราะ) และนอกจากนั้นผมก็ติดซีรีส์ด้วย (หัวเราะ)
สุดท้ายแล้ว งานอดิเรกที่เราทำ ส่วนใหญ่ก็นำไปสู่การซัปพอร์ตงานหลัก อย่างดูซีรีส์ผมก็ชวนนักเรียนคุยบ่อย บางครั้งเปิดให้นักเรียนดู หรืออย่างช่วงที่สอนเรื่องการรักษาความปลอดภัยก็พาดูซีรี่ส์เกี่ยวกับตำรวจสืบสวนสอบสวน แล้วเอามาจุดประเด็นให้นักเรียนแลกเปลี่ยนมุมมองกัน
ความสุขของการทำงานและความหมายของการทำงานเป็นครูในวันนี้คืออะไร
อย่างที่บอกความสุขในการทำงานตอนนี้ สิ่งแรกคือ ทำเรื่องที่ยากในเรื่องการศึกษาและการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สำเร็จ สิ่งที่สองคือ มีความสุขที่ได้ตื่นไปทำงานนี้ (หัวเราะ) จำได้เลยตอนผมบรรจุได้ 3 ปี แล้วผมก็พูดเรื่องนี้ตอนที่ไปเวิร์กช็อปที่ธรรมศาสตร์ เขาบอกผมว่า ที่มีความคิดนี้เพราะยังไฟแรงอยู่ เพิ่งจบมาใหม่
พอผมทำงานต่อไปจน 5 ปี ก็ยังมีความรู้สึกว่าชอบงานนี้ แล้วก็อยากไปทำ มีอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนจะต้องได้ย้ายงาน ก็คือตัวผู้บริหารสถานศึกษาบอกว่า ครูฟอร์ดไม่ต้องลงไปสอนแล้วนะ ครูฟอร์ดเคลื่อนมาดูแลระบบงานการศึกษาเลย ตอนนั้นก็คือใจแป้วเลยเพราะกลัวไม่ได้สอน (หัวเราะ)
วันนี้อยู่มาจน 8 ปีก็ยังรู้สึกว่าเป็นความโชคดีของเราที่เราได้ทำงานที่ชอบ เป็น 8 ปีที่ไม่ได้พยายามอยู่หรือพยายามทำ คือไม่ได้ฝืนทำ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะในโรงเรียนของผมเอง ค่อนข้างจะอยู่แบบดูแลกัน หัวหน้าหมวดหรือหัวหน้ากลุ่มสาระของผม เวลาผมเจออะไรแกก็รับฟัง แกเป็นคนที่รับฟังมากเวลาเจอปัญหาอะไรมา ให้กำลังใจเรา แล้วเราก็ไปลุยต่อ
ส่วนในพาร์ตของหน้างานของการทำงานครูฝึกก็นับว่าเป็น 8 ปีที่ บางครั้งต่อให้อดหลับอดนอนเราก็ยังมีความสุข เพราะเราทำสิ่งที่คิดไว้ได้สำเร็จตามเป้าหมาย ได้แก้ปัญหา ได้สังเกตผู้เรียน ได้คิดกระบวนการ และที่สำคัญการเป็นครูมันสนุกตรงที่เรามีหน้าที่สนับสนุนเด็กให้เรียนรู้ ในขณะที่เราเองก็ได้เรียนรู้ไปพร้อมกับพวกเขาด้วย