มากกว่าการท่องโน้ตไปสอบคือการทำให้เด็ก ‘เติบโต’ จากสายรุ้งแห่งความหลากหลายของ ‘วิชาดนตรี’
คุยกับ ‘ครูเมิฟ—อมานัต จันทรวิโรจน์’ จาก ‘ก่อการครูดนตรี’ ที่เชื่อว่า ‘ดนตรี’ ไม่ใช่ของของคนร้องเพลงเพราะ เล่นดนตรีเก่ง หรือเต้นเก่ง แต่เป็นของของเรา ‘ทุกคน’
หากให้นึกถึง ‘ดนตรี’ ภาพที่ผุดขึ้นในความคิดของเรามักเป็นใบหน้าหลากอารมณ์ของผู้เล่นที่กำลังดีดกีตาร์ ร้องเพลง หรือสัมผัสเครื่องดนตรีนานาชนิด หรือผู้ฟังที่กำลังสัมผัสประสบการณ์ทางเสียงในแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่เมื่อมองเข้าไปใน ‘ห้องเรียนดนตรี’ ของระบบการศึกษาไทยส่วนใหญ่ ภาพความจริงกลับห่างไกลจากความฝัน พื้นที่ที่ควรเต็มไปด้วยจินตนาการและความสุข บ้างกลับถูกล้อมกรอบด้วยกฏเกณฑ์อันเข้มงวด บ้างถูกละเลยจากความไม่พร้อมในหลายปัจจัย บ้างถูกกดดันจากการตั้งเป้าหมายเพื่อการแข่งขัน และหลายครั้งก็มักเป็นวิชาที่ถูกทอนให้เป็นเพียง ‘วิชารอง’ ในระบบการศึกษา ทั้งที่เรื่องของดนตรีเชื่อมโยงและเกี่ยวข้องกับพวกเราทุกคนอย่างแนบสนิทมายาวนาน ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์
คำถามจึงมีอยู่ว่า ‘ห้องเรียนดนตรี’ จะสามารถเป็นพื้นที่แห่งความเป็นไปได้ในการเรียนรู้ที่หลากหลายมากกว่านั้นได้หรือไม่ ห้องเรียนวิชาดนตรีจะเป็นพื้นที่แห่งความสุข ความสนุกสนาน การปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกในมิติต่าง ๆ และสร้างความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับดนตรีให้กับผู้เรียนได้อย่างไร และจะดีไหมถ้านอกห้องเรียนก็มีพื้นที่เรียนรู้เรื่องดนตรี?
นี่คือคำถามที่ขับเคลื่อน ‘ก่อการครูดนตรี’ กลุ่มครูและกระบวนกรที่มารวมตัวกันเพื่อชวนครูและผู้ที่สนใจมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยับขยายมุมมองเกี่ยวกับการเรียนรู้ดนตรีในหลากแง่หลายมุมที่จะสร้างความสุขให้กับผู้เรียนและผู้สอนได้มากขึ้น และหนึ่งในผู้ก่อตั้งที่เราชวนคุยในบทสัมภาษณ์นี้คือ ‘ครูเมิฟ—อมานัต จันทรวิโรจน์’
“เรารู้สึกว่าตัวเองชอบดนตรีมาตั้งแต่ประถม เคยอยู่วงดุริยางค์ของโรงเรียน พอขึ้นมัธยมก็ยังชอบอยู่ และการได้สอนน้องๆ ในวงก็เป็นอีกส่วนที่ชอบมาก”
ด้วยความรู้สึกว่าดนตรีเป็นสิ่งที่ชอบมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงเลือกเรียนคณะครุศาสตร์ สาขาดนตรีศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะคิดว่าหากเรียนด้านดนตรีโดยตรงอาจมีปัญหาเรื่องงานและรายได้ในอนาคตที่ไม่แน่นอน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญทางความคิด เกิดขึ้นเมื่อเขาจบจากรั้วมหาวิทยาลัย แล้วได้ทำงานสอนในโรงเรียนทางเลือกแห่งหนึ่ง
“ด้วยความที่เป็นโรงเรียนทางเลือก จึงมีสภาพที่เอื้อต่อการเติบโตของเราสูง เช่น การให้พื้นที่ การให้ความเชื่อใจ หรือ การที่โรงเรียนให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียน ทำให้เราพยายามจะกลับมาเข้าใจเด็ก เข้าใจวิชาของตัวเองมากขึ้น แล้วก็ให้โอกาสไปหาความรู้เพิ่มเติมด้วย”
เมื่อโรงเรียนเปิดโอกาสให้ไปศึกษาเพิ่มเติมได้ ครูเมิฟจึงไปเรียนเกี่ยวกับการสอนดนตรีเด็กที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้เห็นว่ามีวิธีการสอนที่เป็นไปได้อีกมากมายเกี่ยวกับดนตรี หลังจากนั้นเขาก็พยายามเอากลับมาทำงานกับโรงเรียนและสิ่งที่ปรากฏชัดขึ้นในใจก็คือ
“จริงๆ เราอาจจะไม่ได้ชอบดนตรีขนาดนั้น เราชอบการสอน”
ปัญหาหรือข้อจำกัดเกี่ยวกับการเรียนรู้วิชาดนตรีในบริบทชั้นเรียน จากการสังเกตและประสบการณ์ของครูเมิฟ
ต้องบอกก่อนว่า นี่เป็นมุมมองของผมคนเดียว ด้วยตัวผมเองไม่ได้มีโอกาสไปเจอสภาวะอื่น ๆ (เพราะโรงเรียนเอกชนที่เคยทำงานเป็นโรงเรียนทางเลือกที่ให้โอกาสในการสร้างสรรค์ห้องเรียน) เสียงที่ได้ฟังมาจึงเป็นเสียงบ่น เสียงพูด เสียงแลกเปลี่ยนจากครูดนตรีต่างโรงเรียนมากกว่า
ผมมองว่าการศึกษาด้านดนตรีกับปัญหาการศึกษาด้านอื่น ๆ มีลักษณะพื้นฐานใกล้กัน แต่ประเด็นหลักของวิชาดนตรี อันแรกคือเรื่อง ‘วัสดุอุปกรณ์’ เพราะเวลาเราเล่นดนตรีก็ต้องมีเครื่องดนตรี ซึ่งมันมีราคา มีการดูแลรักษา มีเรื่องห้องเรียนที่ควรเหมาะสมกับการสอนดนตรีอีก นอกจากนั้นดนตรีในโรงเรียนยังถูกแบ่งออกเป็นสองซีก คือ ‘คาบเรียนดนตรี’ และ ‘กิจกรรมดนตรี’ ซึ่งส่วนกิจกรรมดนตรีมักจะมีเครื่องดนตรีมาซัพพอร์ตประมาณหนึ่ง และเด็ก ๆ ได้มีช่วงเวลาและประสบการณ์กับดนตรีเยอะกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการเรียนดนตรีในคาบเรียน
ส่วนที่สองคือ ‘สภาพในการจัดการเรียนการสอน’ ส่วนใหญ่มักเป็นลักษณะการสอนที่เน้นข้อมูลความรู้ เช่น ตัวดำคืออะไร ตัวดำหน้าตาเป็นอย่างไร กุญแจซอลเป็นอย่างไร แต่เด็ก ๆ มักไม่ค่อยมีโอกาสในการร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรี หรือเคลื่อนไหวไปกับบทเพลง และไม่ได้มีโอกาสเข้าใจว่าตัวโน้ตที่เรียนเกี่ยวข้องกับชีวิตเราอย่างไร การสอนยังเป็นลักษณะการสอนเน้นเนื้อหาอยู่ ตัวหลักสูตรก็มีลักษณะที่ทำให้ตีความได้ง่ายว่าเป็นการสอนเพื่อการได้ความรู้ ทั้งที่จริงครูสามารถตีความให้สิ่งนั้นกลายเป็นการสร้าง ‘ประสบการณ์’ ดนตรีให้เด็ก ๆ ได้ การสอนดนตรีในโรงเรียนส่วนใหญ่จึงยังเป็นการสอนให้เด็กมีความรู้ต่อตัวชี้วัด แต่ว่าเด็กไม่ได้มีประสบการณ์ดนตรีจริง ๆ
ช่วยยกตัวอย่าง ‘ประสบการณ์’ ที่ว่านั้นได้ไหม
เช่น ลองย้อนไปตอนเราเด็ก ๆ เราได้ร้องเพลงกันมากแค่ไหนในวิชาดนตรี เราได้ปรบมือเป็นจังหวะแปลก ๆ ใหม่ ๆ บ้างไหม ทั้ง ๆ ที่การร้องเพลงหรือปรบมือแทบไม่ใช้ทุนอะไรเลย แต่กิจกรรมที่จะช่วยให้เด็ก ๆ มีประสบการณ์ดนตรีเหล่านี้กลับไม่ค่อยอยู่ในวิชาดนตรีเลย และมีเพียงบางโรงเรียนที่ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ดนตรีเหล่านี้
อีกเรื่องที่อาจเป็นปัญหา คือ เรื่องบุคลากรที่ขาดแคลนซึ่งต้องยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกโรงเรียนที่จะมีครูสอนดนตรี รวมถึงประเด็นที่ว่าครูสอนดนตรีที่เข้าไปสอนดนตรีในโรงเรียนมีความรู้ความเข้าใจเพียงพอหรือไม่กับ ‘การสอนดนตรี’ ในห้องเรียน เพราะครูดนตรีส่วนใหญ่มาจากการเป็นนักดนตรีและการชอบดนตรี แล้วเรียนดนตรีมาตามแนวทางที่ถูก ‘ฝึก’ ให้ใช้ดนตรีเป็นอาชีพ
เมื่อต้องเปลี่ยนสิ่งนี้กลับไปสู่ ‘การสอน’ ในห้องเรียน คำถามที่ตามมาก็คือ ‘เด็กจำเป็นต้องถูกฝึก/เทรนไหมแบบเราไหม เด็กกำลังจะใช้ดนตรีเป็นอาชีพเหรอ แล้วถ้าเด็กไม่ได้ใช้ดนตรีเป็นอาชีพล่ะ เขาจะใช้ดนตรีทำอะไรได้บ้าง และจริง ๆ แล้วเราสอนดนตรีไปเพื่ออะไร’ นี่จึงเป็นชุดความเข้าใจที่ผมอยากชวนคุณครูดนตรี โดยเฉพาะครูที่รับผิดชอบสอนดนตรีในห้องเรียนมาตั้งคำถามและใคร่ครวญกับประเด็นเหล่านี้มากขึ้น ผมมองว่าถ้าเรามีเป้าหมายแล้วว่า จริง ๆ เราควรสอนดนตรีไปเพื่ออะไร มันจะนำไปสู่วิธีการสอนแบบใหม่ ที่ไม่ใช่การสอนดนตรีภายใต้เลนส์ของการเทรนหรือฝึกให้เด็กไปเป็นนักดนตรีอย่างเดียว
ทั้งที่เด็กทุกคนไม่จำเป็นต้องเติบโตไปเป็นนักดนตรี
ใช่ สิ่งนี้ผมอาจเรียกว่ามันเป็นเรื่อง ‘หมวกของครูดนตรี’ เป็นหมวกใบเดิมที่เขาใส่มา คือหมวกของการเป็นผู้ปฏิบัติงาน เป็นช่างเทคนิค ‘ฉันจะต้องทำสิ่งนี้ให้ดีเพราะมันคืองานของฉัน’ พอเราชินหรือติดกับกับหมวกใบเดิมนี้มาก ๆ เวลาไปสอนดนตรีเด็กในบริบทของห้องเรียน เราก็จะเริ่มงงว่า ‘ในเมื่อเด็กทุกคนก็ไม่ได้จะเอาดนตรีไปใช้เป็นอาชีพ แต่ในเมื่อตัวครูเองถูกเทรนมาด้วยหมวกใบนี้ หมวกของการใช้ดนตรีเป็นอาชีพ แล้วควรจะสอนอย่างไรดี’ ซึ่งหมวกใบเดิมนี้มักจะไม่มีปัญหาเลยกับกิจกรรมนอกห้องเรียน กลับจะเหมาะด้วยซ้ำ เพราะเวลาเราซ้อมวงดนตรีไทย วงประสานเสียง วงโยธวาทิต หรือวงแบนด์ มันไม่ค่อยต่างจากการฝึกฝนในฐานะนักดนตรีมากนัก แต่มันจะงง ๆ ทันทีตอนที่เราเริ่มสวมหมวกใบเดิมนี้เข้ามาในห้องเรียน แล้วไม่มีหมวกใบใหม่ หรือหมวกใบอื่น ๆ เลย
ผมคิดว่าในการสอนดนตรีในห้องเรียน ครูดนตรีอาจจำเป็นต้องมีหมวกเพิ่มมาอีกใบ คือหมวกในฐานะที่ว่าเราเป็น ‘นักการศึกษา หรือนักดนตรีศึกษา’ ผมมองว่าสาเหตุที่ทำให้ครูดนตรีไม่ได้ตระหนักถึงหมวกใบนี้อาจจะมาจากหลายสาเหตุ เช่น ครูไม่มีต้นแบบ ครูไม่เคยเห็นว่าในห้องเรียนทำกิจกรรมดนตรีอะไรได้บ้าง หรือวิชาดนตรีที่ให้เด็กได้เรียนรู้ดนตรีจากกิจกรรมดนตรีหน้าตาเป็นอย่างไร อยากชวนให้ลองถามคนที่เป็นนักดนตรีส่วนใหญ่ ว่าทำไมถึงชอบหรือมาทำงานด้านดนตรี ผมคิดว่าน้อยมากที่จะตอบว่า เราอยากเรียนต่อดนตรีเพราะว่าเราชอบเรียนในห้องเรียนวิชาดนตรี สิ่งนี้ทำให้เห็นสภาพจริงของห้องเรียนวิชาดนตรีได้ดี
เด็กส่วนใหญ่ที่มาเรียนดนตรีต่อ จึงมักจะมาจากเด็กที่มีโอกาสทำกิจกรรมดนตรีนอกเวลาเรียน เช่น เคยอยู่วงโยธวาทิตของโรงเรียนในตอนเย็น หรือรวมตัวกันเล่นดนตรีเป็นวง แล้วหลงรักมัน ซึ่งในห้องเรียนกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เราจำอะไรเกี่ยวกับห้องเรียนวิชาดนตรีของเราไม่ได้เลย ทั้งที่ห้องเรียนวิชาดนตรีควรเป็นพื้นที่ที่ทำให้เด็กทุกคนควรได้มีโอกาสเข้าถึงดนตรี ได้รักดนตรี ได้สัมผัสว่าดนตรีเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของเรา
ดนตรีเป็นธรรมชาติของเราอย่างไร
ผมมองว่าดนตรีเป็นธรรมชาติของเรา รวมถึงการสร้างดนตรีก็เป็นธรรมชาติของเรา อยากชวนให้นึกถึงเด็กเล็ก ๆ ถ้าเราลองเอาของที่เคาะให้เกิดเสียงได้หรือเล่นเป็นเสียงได้ไปวางไว้ เขาก็จะเล่นและสนุกกับเสียงที่เกิดขึ้น เด็ก ๆ จะร้องเพลงอ้อแอ้ตามเสียงที่ได้ยิน บางครั้งอาจจะร้องเป็นทำนองใหม่ขึ้นมา บางครั้งก็จะเต้นตามเพลง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์เรามีความเป็นดนตรีมากกว่าที่คิด แต่น่าเสียดายที่การศึกษากลับเป็นส่วนหนึ่งที่พรากสิ่งนี้ไปจากเรา การร้องเพลงกลายเป็นงานของเด็กที่ร้องเพลงเพราะ แล้วการเต้นกลายเป็นงานของคนที่เต้นเก่ง ดนตรีเป็นของคนที่มีพรสวรรค์ เป็นของศิลปิน สุดท้ายดนตรีเลยไม่ใช่ของของทุกคน ทั้งที่มันเคยเป็นของของทุกคน
ผมมองว่าครูดนตรีควรตั้งคำถามกับประเด็นนี้เช่นกัน เพราะเมื่อเราไม่มีชุดความเชื่อที่หลากหลายหรือตั้งคำถามกับชุดความเชื่อเดิมของเรามากพอ ห้องเรียนดนตรีก็จะเป็นเหมือนเดิมแบบที่เราโตมา
แล้วครูดนตรีควรสวมหมวกใบไหน
เราควรจะเปลี่ยนบทบาทของเราจากการเป็นผู้ให้ความรู้และข้อมูลภายใต้ชุดความเชื่อเดิม ๆ กลายเป็นคนที่สามารถใช้ดนตรีในการส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ว่าดนตรีเชื่อมโยงและสำคัญกับชีวิตของเขา รวมไปถึงมนุษย์อย่างไร แต่เรื่องนี้ก็ต้องบอกเลยว่ามันไม่ง่าย สำหรับครูที่จะต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่เพราะเราถูกฝึกมาแบบนี้ทั้งชีวิตว่าการเรียนดนตรีคือการเล่นเครื่องดนตรีได้ดีเพื่อเป็นอาชีพ
แม้ว่าการเปลี่ยนมุมมองจะไม่ง่าย แต่ผมก็เชื่อว่าคงมีคุณครูหลายๆ คนที่เริ่มตั้งคำถามกับการสอนของตัวเองแล้ว ซึ่งคำถามนั้นอาจนำไปสู่การเรียนรู้ใหม่ ๆ ครูอาจจะต้องกลับเข้าไปเข้าใจดนตรีจริงๆ ไหมว่า ดนตรีให้อะไรกับมนุษย์ กลับไปเข้าใจจิตวิทยาเด็กไหมว่า เราต้องทำงานกับเด็ก ๆ ในแต่ละวัยอย่างไร เราต้องคุยกับพ่อแม่อย่างไรดี เป็นต้น สุดท้ายแล้วเรายังสอนเทคนิคที่ถูก เรายังสอนเนื้อหาที่ถูก แต่วิธีการพาไปหาสิ่งนั้น เส้นทางมันอาจจะเป็นทางใหม่ก็ได้ เส้นทางที่ทำให้การเรียนดนตรีของเด็ก ๆ แฮปปี้ มีความสุข และรักการเรียนดนตรี
‘ก่อการครูดนตรี’ ผลักดันประเด็นอะไรบ้างเพื่อขยับขับเคลื่อนเรื่องห้องเรียนวิชาดนตรี
แบ่งหลัก ๆ เป็น 3 ประเด็น อันแรกคือการ ‘เอมพาวเวอร์ครู’ หนุนเสริมครูให้กล้ากลับไปเปลี่ยนแปลงห้องเรียนของตัวเอง ให้ครูได้เห็นเครื่องมือใหม่ ๆ ในการสอนดนตรี ทำให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปได้ กลายเป็นห้องเรียนที่มีความเป็นไปได้ นอกจากนั้น ธรรมชาติของครูดนตรีจะเป็นครูที่มักจะมีคนเดียวในโรงเรียน แล้วบางทีมันไม่ได้เจอกัน เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรได้ แต่การชวนมาเจอกัน ทำให้ครูเห็นว่ามีเพื่อนที่ร่วมทางไปด้วยกันในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ทำให้ครูกล้าเปลี่ยนแปลงการสอนของตัวเองมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้ก็จะเกี่ยวกับประเด็นที่ 2 ด้วย
อันที่สองคืออยากจะ ‘สร้างเครือข่าย’ เป็นพื้นที่เจอกันของครู มาพบปะ ปรับทุกข์ คุยกันเรื่องชีวิตบ้าง หรืออาจจะส่งเสริมกันไปในอนาคต เราก็อยากจะส่งเสริมให้ครูไปสร้างสรรค์ห้องเรียนตัวเอง แล้วเอาห้องเรียนตัวเองมาแชร์กันเพิ่มเติม และการสร้างเครือข่ายแบบที่อยากจะทำเพิ่มคือเราอยากให้การรวมตัวกันของครูสามารถสื่อสารไปยังคนข้างบนของพวกเขาได้ เช่น สื่อสารออกไปยังผู้บังคับบัญชา ไปยังกระทรวง ไปยังสังคมว่า ‘จริงๆ มันมีมุมมองอื่นๆ เกี่ยวกับการเรียนดนตรีอีกนะ’
อันสุดท้าย ถ้าเป็นไปได้ เป้าหมายไกลที่สุดของเราคืออยากนำไปสู่ ‘การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย’ เช่น การเปลี่ยนแปลงของหลักสูตรว่าหลักสูตรควรจะเป็นอย่างไรจึงจะตอบรับกับสภาพจริงในตอนนี้มากขึ้น รวมถึงอาจจะนำไปสู่การผลักดันให้เกิดพื้นที่ภายนอกโรงเรียนที่สนับสนุนเด็ก ๆ ที่อยากเล่นดนตรีให้มีโอกาสเล่นดนตรีมากขึ้น
คล้ายๆ พื้นที่เรียนรู้นอกห้องเรียนใช่ไหม
อะไรประมาณนั้น เพราะว่าจริงๆ หลายประเทศเขาก็มีพื้นที่ตรงนี้กันเยอะ บางที่เขาอาจจะไม่มีดนตรีในหลักสูตรก็จริง แต่ว่ามีพื้นที่จัดกิจกรรมเกี่ยวกับดนตรีเพื่อให้เด็กมาร่วม บางเมืองเด็กมาแล้วยืมเครื่องดนตรีไปเลยก็ได้ หรือตอนเย็นๆ ก็มาซ้อมด้วยกัน มาเล่นด้วยกัน อาจจะใช้คำว่า ‘เหมือนกับว่าทุกคนที่อยากเรียนดนตรี ก็จะมีโอกาสในการเรียนดนตรีอย่างจริงจัง’ อันนี้คืออาจจะมากกว่าขอบเขตของห้องเรียนไปอีก ก่อการครูดนตรีจึงอยากมองเชื่อมไปถึงเรื่อง ‘ระบบนิเวศทางดนตรี’ คือจะทำอย่างไรให้มีพื้นที่ที่สนับสนุนเรื่องดนตรีมากขึ้น
เช่น ถ้ามันมีเครื่องดนตรีที่เราเล่นง่ายหน่อย เราก็อยากจะเล่นมัน หรือใครจะไปรู้เราอาจจะอยากแต่งเพลงของตัวเอง อยากจะลองเล่นดนตรีเพื่อเล่าเรื่องของเราบ้าง จริงๆ มันควรจะมีพื้นที่เหล่านี้เพิ่มขึ้น เราก็หวังว่าก่อการครูดนตรีก็จะเป็นหนึ่งในพลังที่ส่งเสริมให้มีพื้นที่เหล่านี้มากขึ้น
มีคนสนใจหรือมาร่วมด้วยกับ ‘ก่อการครูดนตรี’ เยอะไหม
พวกเราจัดอบรมมาสองครั้งแล้ว ครั้งที่สองเป็นครั้งที่เราค่อนข้างตื่นเต้น เพราะครั้งแรกเป็นครั้งเชิญชวน เราก็จะชวนคนรู้จักกันมาร่วม ซึ่งก็รู้สึกขอบคุณคุณครูที่ตอบรับคำชวนของเรา แต่พอครั้งที่สองผู้เข้าร่วมที่มาเขาบอกว่า ‘ได้ยินเสียงบอกต่อมาก็เลยอยากจะมา’ แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าเราจัดรอบที่สองจะมีคนมาเยอะขนาดนี้ เราก็เลยแพลนว่าจะจัดครั้งที่สามต่อ
จากสิ่งที่ก่อการครูดนตรีขับเคลื่อนอยู่ รวมถึงจากมุมมองและประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาของครูเมิฟ ‘การเรียนวิชาดนตรี’ ควรเป็นไปเพื่ออะไร
ผมว่าแบ่งหลัก ๆ ได้สองด้าน คือ ‘การดนตรีเพื่อดนตรี’ และ ‘การดนตรีเพื่อพัฒนาเด็ก’ การเรียนดนตรีเพื่อดนตรี คือ การเรียนดนตรีเพื่อให้เด็กรู้จักดนตรี เจอดนตรี เข้าใจดนตรี เห็นความงาม เห็นความท้าทาย เห็นความสนุกในดนตรี เห็นเสน่ห์ของมัน ตกหลุมรักมัน อยู่กับมันจริง ๆ จดจ่อกับมันจริง ๆ ลองทำจริง ๆ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้นจริง ๆ ซึ่ง ‘จริง’ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นดนตรีมาตรฐานหรือดนตรีคลาสสิกนะ แต่หมายถึงว่าเด็กได้มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีจริง ๆ เพราะเวลาเราใช้คำว่าดนตรีที่จริงเมื่อไหร่ คนก็จะคิดว่าต้องเป็นดนตรีคลาสสิกหรือเปล่า ต้องเป็นดนตรีไทยไหม ไม่เสมอไป มันอาจจะเป็นเพลงป๊อบก็ได้ แต่ว่าครูดึง ‘ความเป็นดนตรี’ ของสิ่งนั้นออกมา
สมมตินั่งฟัง ‘นน ธนนท์’ ‘แล้วเรามาลองร้องกันไหม แบ่งท่อนกันไหม ลองใส่เสียงประสานกันไหม เดี๋ยวอีกคนครูจะให้ปรบมือจังหวะแบบนี้ ลองทำไปด้วยกันนะ ใครคิดว่าปรบมือจังหวะกับกลองพร้อมกันได้ ทำเลยนะ ถ้าจะมีมูฟเมนต์ทำยังไงดีนะ มูฟเมนต์ไปกับคำดีไหม หรือมูฟเมนต์เราจะไปกับอารมณ์เพลงดี’ จะเห็นว่ามันสามารถทำให้ดนตรีมันเข้มข้นและสนุกขึ้นได้อีกหลายมุม
นอกจากนี้เราเชื่อว่าการที่เด็กได้เรียน ‘ดนตรีเพื่อดนตรี’ เด็กก็จะได้อีกฝั่งหนึ่งไปพร้อมกันด้วย สิ่งนั้นคือ ‘การเรียนดนตรีเพื่อพัฒนาตนเอง’ ผมชอบโมเดลหนึ่งที่เรียกว่า SPIRE Model ของทางสหรัฐอเมริกาที่เขาบอกว่า การพัฒนาความสุขของมนุษย์ไม่ใช่การไปวิ่งหาความสุข แต่คือการพัฒนาสุขภาวะ 5 ด้าน คือ spiritual, physical, intellectual, relational,emotional ซึ่งจะช่วยให้เรามีความสุขและมีความสามารถในการที่จะล้มแล้วลุกได้ในสถานการณ์ต่างๆ เราชอบคำที่เขาจะใช้คำว่า anti-fragility คือล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาแข็งแรงกว่าเดิม ซึ่ง 5 ด้านนี้เรามองว่าใช้ดนตรีในการช่วยพัฒนาได้หมดเลย
ดนตรีจะช่วยพัฒนาสุขภาวะในแต่ละด้านนั้นได้อย่างไรบ้าง
อันแรก Spiritual ซึ่งไม่ใช่เรื่องของศาสนา แต่คือการที่ชีวิตคุณมีเป้าหมาย การมาเล่นดนตรีด้วยกันก็คือเป้าหมายที่เราร่วมกันทิ้งตัวตนบางอย่างของตัวเองลง แล้ว ‘ช่วยกัน’ สร้างสิ่งที่งดงามขึ้นมา ดังนั้นเรากำลังฝึกเด็กให้มีเป้าหมายอยู่ เราอาจจะเล่นโน้ตไม่เยอะ แต่การมีอยู่ของทุกคนที่ร่วมกันเล่นทำให้ทั้งหมดสวยขึ้นและทำให้เห็นว่า ‘เธอสำคัญเหมือนกันนะ เป้าหมายเราไม่ใช่เป็นเป้าหมายของเราคนเดียว เรามีเป้าหมายอันนี้ร่วมกัน ครูอยู่ข้างหน้า แต่ครูไม่ได้สำคัญกว่าเธอ เพราะหากปราศจากเธอมันจะไม่มีเสียงที่สวยงามเหล่านี้ออกมา’
ส่วน Physical ก็อย่างการขยับร่างกาย การเคลื่อนไหว การเต้นไปกับเพลง หรือการเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ ก็คือการทำงานของกล้ามเนื้อเล็กๆ ของเรา ซึ่งส่งผลต่อการทำงานในสมองอีก
อันต่อมาคือ Intellectual จริงๆ ดนตรีมีชุดความคิดจำนวนมากอยู่ในนั้น เมื่อเด็กฟังเพลงแล้ว ‘เขาเห็นอะไรในโครงสร้างเพลง มีท่อนที่เหมือนกันไหม มีท่อนที่ไม่เหมือนกันไหม ความเหมือนและความต่างกันนั้นเป็นอย่างไร เด็กๆ ได้ยินจังหวะนี้ เด็กๆ เอามาเขียนเป็นเครื่องใหม่ได้ไหม ยาว – สั้น สั้น – ยาว ถ้าสมมุติครูเปลี่ยนคำว่ายาวเป็นคำว่า ‘ก้าบ’ แล้วคำว่าสั้นเป็นคำว่า ‘จิ๊บๆ’ เราจะอ่านมันว่าอะไรนะ’ หรือการที่เราได้จดจ่อกับการทำอะไรบางอย่างมันก็คือ เกิด intellectual wellbeing เพราะเราได้โฟกัสกับอะไรบาง ดนตรีมันก็คือการที่เราต้องโฟกัสกับสิ่งนั้นๆ เช่น เราเต้นไปกับเสียงดนตรี เราก็โฟกัสกับเสียงดนตรีอยู่
สุดท้ายคือเรื่อง Emotional หรืออารมณ์ความรู้สึก มันเป็นความสุข ความอิ่มเอมใจ ความสนุก ความรู้สึกดีๆ ความรู้สึกประสบความสำเร็จที่เราเล่นเพลงได้ เราหัดได้ เพราะงั้นจริงๆ ดนตรีมันเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสิ่งเหล่านี้ได้หมดเลย ดังนั้นยิ่งเราต้องสอนเพื่อให้เด็กพัฒนา เรายิ่งต้องสอน ‘ดนตรีจริงๆ’ มากขึ้น และคำนิยาม ‘ดนตรีจริงๆ’ หมายถึง การที่เด็กได้มีประสบการณ์กับดนตรีอย่างหลากหลาย
อย่างไรก็ตาม หากจะพูดถึงว่า ‘เราสอนดนตรีไปทำไม’ มันก็จะมีประเด็นนอกจากนี้อีกเยอะเลยที่ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะพูดกันได้ครบถ้วนไหม แต่อย่างหนึ่งเลยคือ การที่เราเรียนดนตรีและมีประสบการณ์กับมัน เมื่อเราฟังดนตรีเป็น เมื่อเรารู้จักมันมากขึ้นแล้ว มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความซาบซึ้ง’ (appreciation) เกิดขึ้นมา และความซาบซึ้งนั้นไม่ได้มาจากความรู้สึกอย่างเดียว แต่เป็นจุดผสมกันระหว่าง ‘ความรู้สึก’ และ ‘ความรู้’ เรารู้ว่าเขาทำอะไรแล้วงดงาม เราก็ชื่นชม ซึ่งถ้าเราไม่เคยถูกเปิดหูให้หัดฟังเลยก็ไม่มีทางที่เราจะไปถึงความรู้สึกนั้นได้
อย่างในหมอลำก็มีความงาม ในดนตรีชนเผ่าต่างๆ บนโลกก็ล้วนมีความงามของมัน ดนตรีแจ๊สก็สวยแบบของมัน คลาสสิกก็สวยแบบของมัน ไทยเดิมก็สวยแบบของมัน แต่หลายคนกลับรู้สึกว่า ‘โห… ต้องมานั่งฟังเพลงไทยเดิม(หน้ามุ่ย)…’ พอไปฟังเพลงคลาสสิก ‘โอ้ย ต้องใส่สูทฟัง ฟังยาก อะไรก็ไม่รู้ไม่มีเนื้อร้องเลย บ้าเปล่า’
ทั้งๆ ที่เพลงทุกเพลงคือส่วนหนึ่งของหัวใจเรา เพลงทุกเพลงที่เกิดขึ้น คือ ส่วนหนึ่งของหัวใจของมนุษย์อีกคนหนึ่ง การที่เราไปฟังมัน นั่นคือการเอาหัวใจของเราไปสัมผัสกับหัวใจของคนอีกคนหนึ่ง บางทีเรื่องเล่าของเขาอาจจะซาบซึ้งมากก็ได้ มันอาจจะงดงามมากก็ได้ มันอาจจะเจ็บปวดมากก็ได้
ผมชอบประโยคหนึ่งของ ‘headmistress’ คนที่มาช่วยดูในโรงเรียนที่ผมเคยสอน เมื่อผมถามเขาว่า ‘เราสอนดนตรีเด็กๆ ไปทำไม’ เขาพูดมาประโยคหนึ่งว่า ‘music is a rainbow of emotion’ แปลได้ว่า ‘ดนตรีคือสายรุ้งของความรู้สึกต่างๆ’ เราพาเด็กไปเจอความรู้สึกต่างๆ สัมผัสความรู้สึกต่างๆ ได้ พาให้เด็กเข้าใจ เห็นคุณค่า ยอมรับทั้งตัวเองและคนอื่น และมองเห็นว่าทั้งเราและเขาต่างก็มีข้อดี แม้บางครั้งเราอาจจะไม่ชอบ แต่มันก็มีความงามของมันอยู่ข้างในนั้น มันทำให้เราละเอียดอ่อนขึ้น