ก่อการครู – Korkankru

กิจกรรมที่ผ่านมา บทความ / บทสัมภาษณ์ โรงเรียนปล่อยแสง

ฟังอารมณ์ ถามความรู้สึก ทักษะการโค้ชเพื่อดูแลใจผู้เรียน โรงเรียนสุจิปุลิ

Reading Time: 2 minutes โค้ชคืออะไร โค้ชของโครงการโรงเรียนปล่อยแสงเหมือนหรือต่างจาก “โค้ช” ที่หลายคนเคยได้ยินมา คุยกับอาจารย์เปิ้ลและอาจารย์จ๊อย สองวิทยากรที่จะชวนครูสำรวจบทสนทนาระหว่างตนเองกับนักเรียนใหม่ ทำอย่างไรครูจะเท่าทันตนเอง ไม่พลาดพลั้งตัดสินผู้เรียน และเริ่มดูแลใจกันได้มากขึ้น Nov 3, 2023 2 min

ฟังอารมณ์ ถามความรู้สึก ทักษะการโค้ชเพื่อดูแลใจผู้เรียน โรงเรียนสุจิปุลิ

Reading Time: 2 minutes

ปัญหาที่เด็กประสบพบเจอนั้นมีมากมาย ทะเลาะกับเพื่อนกับแฟน พ่อแม่หย่าร้าง ไม่มีเงินมาโรงเรียน หรือเรียนได้ไม่ดี บางครั้งก็ไม่ใช่แค่เรื่องวิชาการหรือสมอง แต่มีมิติด้านจิตวิทยาแฝงอยู่ ผู้เรียนอาจรู้สึกด้อย เปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นตลอดตัวเอง มองไม่เห็นศักยภาพที่ตนมี

หลากหลายและกว้างใหญ่กว่าเนื้อหาที่ครูสอน คือชีวิตจริงในทุกวันของผู้เรียน  ทำอย่างไรครูจะเท่าทันและมองเห็นมิติต่างๆ ในชีวิตของผู้เรียนได้มากขึ้น 

เพื่อตอบคำถามนี้ โครงการโรงเรียนปล่อยแสงชวนอาจารย์ “เปิ้ล” – อธิษฐาน์ คงทรัพย์ และอาจารย์ “จ๊อย” – ปวีณา แช่มช้อย สองวิทยากรจากกิจกรรมพัฒนานิเวศการเรียนรู้ตามความสนใจของโรงเรียน มาคุยกันในหัวข้อ Coaching Skills For the teachers ที่โรงเรียนสุจิปุลิ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเข้าใจทักษะการฟังและการตั้งคำถามสะท้อนชีวิตพร้อมๆ กัน

การโค้ชเพื่อครู

“คำว่า ‘โค้ช’ ใช้ในสื่อออนไลน์เยอะ หลายบริบท หลายมิติ แต่ละคนมีภาพจำหรือเข้าใจคำนี้ต่างกันไป แต่คำว่า ‘โค้ช’ ในแบบของโครงการโรงเรียนปล่อยแสง คือการไม่ได้มาบอกหรือมาสอน แต่มาชวนฟังและตั้งคำถาม” 

อาจารย์เปิ้ลเกริ่นนำว่า “โค้ช” ของโครงการโรงเรียนปล่อยแสงคือการฝึกฝนให้ครูเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังในระดับลึกถึงความรู้สึก ความต้องการ คุณค่าที่ซ่อนในพฤติกรรมและคำพูด ใช้การตั้งคำถามเพื่อช่วยให้ผู้พูดตระหนักรู้ในตนเอง  

“จากที่มาด้วยความสับสน ความขัดแย้งบางอย่าง การคุยกับโค้ชจะช่วยให้เขาค่อยๆ จัดเรียงความคิดและประมวลผลภายในตัวเอง พบคำตอบที่ตอบสนองต่อคุณค่าเบื้องลึกในตัวเอง ปลดล็อกบางอย่างที่เป็นอุปสรรค เพราะอุปสรรคที่เจอส่วนใหญ่มาจากวิธีคิดของเราเอง  

“โค้ชของเรา คือฟังเป็น ตั้งคำถามเป็น”

หนึ่งในกิจกรรมแรกของการอบรมที่โรงเรียนสุจิปุลิ คือกิจกรรมฝึกทักษะการฟัง การเล่า การทบทวนประเด็น ทบทวนความรู้สึก  โดยให้ครูจับคู่ผลัดกันเล่าแรงบันดาลใจในการมาทำอาชีพนี้  ผู้ฟังต้องฟังอย่างตั้งใจ ไม่ขัดหรือแทรกและจับประเด็นสำคัญจากเรื่องเล่านั้นว่าผู้เล่าให้คุณค่ากับสิ่งไหน กำลังรู้สึกอะไร ก่อนจะพูดทวนเพื่อสะท้อนกลับ

“หลังจบกิจกรรมมีครูสะท้อนว่าเล่าได้ไม่ค่อยดี แต่พอเพื่อนที่ฟังทวนกลับมาก็รู้สึกว่าใช่ นั่นแหละคือเรื่องที่ฉันอยากเล่า แต่ตนเองเรียบเรียงไม่ถูก  กลายเป็นส่งผลดีให้ผู้เล่าเข้าใจเรื่องของตนเองมากยิ่งขึ้น ช่วยให้คนที่กำลังสับสนเข้าใจตนเองได้” อาจารย์เปิ้ลเล่า

อาจารย์จ๊อยเสริมอีกมุมว่านอกจากในแง่ของเรื่องราวแล้ว การฟังและทวนประเด็นสำคัญยังช่วยให้ผู้เล่าเข้าใจในความรู้สึกของตนเองด้วย เพราะหลายครั้งผู้เล่าก็ไม่ชัดเจนว่าตนเองรู้สึกกับเรื่องราวนั้นอย่างไร แต่การมีใครสักคนฟังและนิยามความรู้สึกนั้นได้ตรงจุด ก็ช่วยให้เกิดความกระจ่างขึ้นได้

“ครูก็กำลังเจอประสบการณ์คล้ายๆ กันนี้กับเด็ก สมมติว่ามีเด็กมาโวยวายงอแงให้ครูฟัง แล้วครูลองสะท้อนถามกลับไปว่ากำลังโกรธอยู่ใช่ไหม หรือกำลังเสียใจอยู่ใช่ไหม เด็กก็อาจเบาลง กระจ่างขึ้น เพราะรับรู้ว่าครูรู้แล้วว่าเรากำลังโกรธ” อาจารย์จ๊อยยกตัวอย่าง

“หลายครั้งเด็กบอกความรู้สึกไม่เก่ง การอธิบายหรือจับอารมณ์ออกมาเป็นคำอาจยากไปสำหรับเขา จึงแสดงอาการออกทางกาย การที่เราเข้าใจและจับความรู้สึกเขาได้ จะทำให้เราดูแลเขาได้ดีขึ้น” อาจารย์เปิ้ลเสริม

เก้าอี้ 4 ตัว กับการให้คำปรึกษา 3 แบบ

กิจกรรมสาธิตกึ่งแสดงละคร ให้ผู้มาขอคำปรึกษานั่งเก้าอี้ตัวแรก ส่วนอีกสามตัวเป็นของผู้ให้คำปรึกษาสามแบบ ผู้ขอคำปรึกษาบอกเล่าความกังวลใจว่า “จะเลิกดื่มน้ำอัดลมที่ชอบอย่างไรดี” 

ผู้ให้คำปรึกษาคนแรกแสดงแบบสอนสั่ง บอกว่าน้ำอัดลมไม่ดี ให้เลิกเลย ซึ่งเป็นวิธีที่เรามักได้รับจากคนใกล้ตัว เช่น พ่อแม่ เพื่อนสนิท 

คนที่สองเสนอทางเลือก เริ่มจากการช่วยหาสาเหตุว่าเพราะเหตุใดจึงชอบดื่มน้ำอัดลม เมื่อรู้ว่าเจ้าตัวชอบดื่มเพราะความสดชื่น ก็ช่วยแนะนำทางเลือกเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ ที่สดชื่นเหมือนกัน เป็นบทบาทที่เรามักได้รับจากครู และเจ้านายในที่ทำงาน

คนสุดท้ายไม่พยายามช่วยหาทางออก แต่มุ่งเน้นตั้งคำถามชวนให้เจ้าตัวคิดว่าเพราะอะไรจึงอยากเลิกดื่มน้ำอัดลมที่ชอบ จนคลี่คลายเหตุผลเบื้องหลังว่าไม่ได้แค่อยากเลิกดื่มน้ำอัดลม แต่อยากลดน้ำหนัก อยากหุ่นดี  บทบาทแบบสุดท้ายนี้เองคือ “โค้ช” ของโครงการโรงเรียนปล่อยแสง ซึ่งแตกต่างจากการโค้ชกีฬาที่เน้นการเปลี่ยนพฤติกรรมและมุ่งสู่เป้าหมาย 

“ถ้าเป็นโค้ชกีฬา เขาอาจสั่งให้คุณไปวิ่ง งดอาหารนั่นนี่ เพื่อให้เราเข้มงวดกับการลดน้ำหนัก แต่การโค้ชแบบโครงการโรงเรียนปล่อยแสง สุดท้ายผู้เล่าต้องเป็นคนเลือกเองว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ทำหรือไม่ทำ ถ้าทำจะทำอย่างไร อย่างกรณีสาธิตเรื่องน้ำอัดลม  สิ่งสำคัญไม่ใช่การไม่ดื่ม หรือจะเลือกดื่มต่อเพราะเป็นพลังใจ แต่คือการเป็นตัวของตัวเอง คลี่คลายและตัดสินใจเรื่องภายในด้วนตนเอง” อาจารย์จ๊อยอธิบาย

“การตั้งคำถามแบบโค้ช คือไม่ถามเรื่องนอกตัว แต่ถามเรื่องราวภายในว่ามีผลกระทบอะไรกับเขาบ้าง เพราะมนุษย์ไม่สามารถแก้ไขปัจจัยภายนอกหรือสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตนเอง  สิ่งที่เราดูแลและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ คือข้างในตัวเรา  หน้าที่ของโค้ชคือการช่วยถามให้เขาเห็นความเชื่อมโยงและความเป็นไปได้ ว่าจากตัวตนที่เขาเป็น ศักยภาพที่เขามี จะพาเขาไปถึงเป้าหมายที่ปรารถนาอย่างไรได้บ้าง” อาจารย์เปิ้ลสรุปบทบาทของโค้ช

ครูผู้ดูแลจิตใจ

ในบริบทของโรงเรียน การให้คำปรึกษาช่วยหาทางออกจากปัญหาต่างๆ ของผู้เรียน หรือช่วยเด็กพัฒนาก้าวหน้าด้านการเรียนก็จำเป็นในหลายๆ กรณี แต่การเป็นโค้ชที่ช่วยดูแลจิตใจข้างใน ช่วยให้นักเรียนเติบโตด้วยตัวเองก็มีความสำคัญและจำเป็น

“การโค้ชแบบนี้จะทำให้ระบบการศึกษาสนใจมนุษย์เป็นองค์รวมมากขึ้น คือไม่ได้สนใจแค่เนื้อหาที่จะสอน หรือแค่การปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ แต่ว่าสนใจเด็กของเราอย่างเป็นองค์รวมทั้งหมดในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง” อาจารย์เปิ้ลเล่า

“มิติด้านอารมณ์ความรู้สึกสำคัญต่อการเรียนรู้มาก ถ้ามองข้ามจุดนี้ไปเราก็จะได้เด็กหัวโต เป็นเด็กที่เรียนได้ ขยัน ผลลัพธ์ดี แต่จิตใจข้างในไม่ได้รับการดูแล” อาจารย์จ๊อยกล่าว

ทักษะการโค้ชสำคัญอย่างมากต่อเด็กวัยรุ่น โดยเฉพาะระดับมัธยมฯ ซึ่งเริ่มตามหาตัวตนและเป้าหมายของตนเอง เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ ฮอร์โมน และความไม่สอดคล้องในตนเอง จะเป็นเด็กก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง

“สิ่งที่วัยรุ่นต้องการคือการได้รู้ว่าตนเองได้รับการยอมรับ เสียงของเขาได้รับการได้ยิน การโค้ชคือการถามเพื่อให้เสียงนั้นได้เผยออกมา ดึงศักยภาพด้านบวกขึ้นมาแล้วขับเคลื่อนจากตรงนั้น  ในวันที่ตัวชี้วัดภายนอกไม่เป็นอย่างที่เขาหวัง ทักษะการโค้ชจะช่วยย้ำให้เด็กไม่ลืมจุดแข็งของตนเองว่าคืออะไร ช่วยเสริมพลังความมั่นใจให้เขา ความรู้สึกว่ามีผู้ใหญ่คอยฟังเขาอยู่ เชื่อมั่นในตัวเขาว่าจะตัดสินใจเลือกชีวิตได้เอง มันทรงพลังมากเลยนะ” อาจารย์เปิ้ลอธิบาย

ทักษะการโค้ชที่เน้นการดูแลจิตใจนั้นไม่ได้ใช้เฉพาะครูกับเด็ก  แต่สามารถนำมาช่วยให้เราทุกคนรู้จักฟังกันมากขึ้น  สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการสื่อสาร เสริมพลังให้ทุกคนในนิเวศการเรียนรู้กล้าส่งเสียง กล้าพูดคุย และสร้างความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งจะนำไปสู่การวางเป้าหมายร่วมกันของโรงเรียน ชุมชน และพื้นที่การเรียนรู้ ก่อนก้าวต่อด้วยศักยภาพของตนเอง 

ทุกอารมณ์ล้วนมีความหมาย

“ตอนแรกหนักใจอยู่เหมือนกัน เพราะโรงเรียนสุจิปุลิเป็นโรงเรียนเด็กเล็ก ครูที่มาเข้าร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่อยู่ระดับชั้นอนุบาล ก็นึกภาพยากนิดหนึ่งว่าเวลาเด็กเล็กๆ มีปัญหามาขอคำปรึกษาจะเป็นอย่างไร” อาจารย์จ๊อยเล่าถึงการทำหน้าที่วิทยากรครั้งนี้

“แต่ความกังวลก็คลี่คลายในวงสะท้อนและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหลังเข้าร่วมกิจกรรม มีครูบอกว่าที่ผ่านมานึกว่าเราฟังเด็ก แต่จริงๆ ไม่ได้ฟังเขาเลย เป็นการฟังแบบผ่านๆ  คิดว่าตั้งใจจะช่วยเหลือเด็ก แต่เราไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของเด็กเลย มุ่งที่เนื้อหา พยายามแก้ปัญหาให้ แต่ลืมดูว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์แบบไหน กำลังรู้สึกอะไร หลังจากนี้จะตั้งใจฟังความรู้สึกของเด็กควบคู่กับเนื้อหาที่เขาเล่าด้วย”  

ครูหลายคนก้าวสู่อาชีพนี้เพราะแรงบันดาลใจอยากดูแลเด็กๆ อยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางการเติบโตของหลายๆ ชีวิต แต่หลายครั้งหลายหน เรามักหลงไปกับตัวชี้วัดต่างๆ ที่คนอื่นกำหนดขึ้น แก้ไขปัญหาที่มองเห็นจับต้องได้ แต่มองข้ามเรื่องอารมณ์ความรู้สึกภายในของผู้เรียน ซึ่งบางครั้งก็สำคัญยิ่งกว่า

ในโรงเรียนหรือชั้นเรียน ทักษะการโค้ชอาจไม่มีโอกาสใช้ได้เต็มรูปแบบ แต่สิ่งสำคัญคือเมื่อครูมีทักษะพื้นฐานการโค้ช ทั้งการฟังจับประเด็นภายใน และการถามเพื่อให้ผู้พูดตกผลึกความคิดด้วยตนเอง ก็สามารถปรับใช้ในการพูดคุยปกติในชั้นเรียน 

บางครั้งเด็กต้องการแค่ผู้ใหญ่ที่รับฟังว่า เขากำลังรู้สึกอย่างไร 

ทุกอารมณ์ล้วนมีความหมาย ในฐานะส่วนประกอบเล็กๆ ที่สร้างให้คนเติบโต

Array