ครูไม่ใช่แค่คนที่ยืนอยู่หน้าห้อง แต่เป็น ‘ใครบางคน’ ที่ยืนอยู่ในชีวิตเด็ก
Reading Time: 3 minutesคุยกับ ‘ครูหนิง-ครูกิ๊ก-ครูอ้อ’ แห่งโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาฯ กับภารกิจข้ามขอบรั้วโรงเรียน ไปมองเห็นชีวิตของเด็กอย่างรอบด้าน
โลกวันนี้หมุนเร็วและซับซ้อนขึ้นทุกขณะ ทั้งสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ทำให้การศึกษาและการเรียนรู้ของเด็กต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ กลายเป็นโจทย์สำคัญในการออกแบบและเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาในหลายประเทศทั่วโลก
เมื่อมองกลับเข้ามายังประเทศไทย จากข้อมูลการสำรวจในช่วงปีที่ผ่านมา เราพบว่ามีเด็กและเยาวชนจำนวนมากที่หลุดและเข้าไม่ถึงระบบการศึกษา เป็นสัญญาณบ่งชี้ ‘วิกฤต’ ของระบบการศึกษาที่ไม่สอดรับกับวิธีการเรียนรู้อันแตกต่าง รวมถึงเงื่อนไขและปัญหาในชีวิตของเด็กแต่ละคนได้ กล่าวคือ การศึกษาของบ้านเรายังคงแยกขาด ‘ห้องเรียน’ กับ ‘ชีวิตจริง’ ทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตและการทำงาน ยังคงสวนทางกับเส้นทางการได้มาซึ่งวุฒิการศึกษา ขณะที่นอกรั้วโรงเรียนมีวิธีเรียนรู้ใหม่ๆ ผุดขึ้นมากมาย แต่ระบบที่แข็งตัวกลับไม่อาจยืดหยุ่นพอจะเชื่อมร้อยโลกการเรียนรู้นอกรั้วเข้ากับโลกการเรียนรู้ภายในรั้วโรงเรียนได้อย่างแนบสนิท กำแพงระหว่างโรงเรียนกับโลกภายนอกจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อรั้วโรงเรียนสูงเกินกว่าที่เด็กจะก้าวเข้ามาและก้าวข้ามออกไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ ข้างนอกได้ การหลุดร่วงจากการป่ายปีนกำแพงสูงของ ‘ระบบการศึกษา’ ก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก สถานศึกษาขนาดกลางในจังหวัดเชียงราย ลุกขึ้นมาข้ามขอบ ขยับปรับตัวและมองหาทางออก เมื่อพบว่านักเรียนจำนวนหนึ่งกำลังค่อยๆ ถอยห่างออกจากรั้วโรงเรียน ด้วยการริเริ่ม ‘ห้องเรียนระบบ 2’ ขึ้นมา โดยเริ่มพัฒนาหลักสูตรและดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2564 เพื่อเป็นทางเลือกในการจัดการศึกษาให้กับเด็กที่ไม่สามารถเรียนในระบบปกติได้ ภายใต้คำถามสำคัญว่า โรงเรียนจะเข้าไปดูแลชีวิตและจัดการศึกษาให้กับเด็กในเงื่อนไขและข้อจำกัดที่แตกต่างของแต่ละคนได้อย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าต้องอาศัยการลงแรงอย่างมากจาก ‘ครู’ ผู้อยู่หน้างานและใกล้ชิดกับเด็กๆ มากที่สุด
บทความนี้ชวนพูดคุยถึงมุมมองและการทำงานข้ามขอบรั้วโรงเรียนของ ครูหนิง—หทัยชนก ถาแหล่ง ครูกุ๊กกิ๊ก—พรรณภา ชิมโพธิ์ครัง และ ครูอ้อ—อภิรดา ผ้าเจริญ ตัวแทนคุณครูจากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาฯ ที่ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า‘การเป็น ‘ครู’ ไม่ใช่แค่การยืนสอนหน้าห้องเรียนเท่านั้น (เพราะบางครั้งต้องเป็นกู้ภัยด้วย)’
‘ชีวิต’ ของนักเรียน ในสายตาของคุณครู
เราตั้งต้นบทสนทนากันถึงข้อสังเกตผ่านประสบการณ์ทำงานกับนักเรียนโรงเรียนห้วยซ้อฯ ของ ครูหนิง ครูอ้อ และครูกุ๊กกิ๊ก ว่าพวกเธอมองเห็นสภาพปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงการเรียนรู้ของเด็กๆ ในระบบอย่างไรบ้าง
คุณครูชี้ชวนให้เห็นว่า ‘ปัญหาด้านพฤติกรรม’ เป็นปัญหาที่ปรากฏชัดเจนที่สุด เช่น การไม่ยอมมาโรงเรียน นิ่งเฉยไม่เข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้ บริหารจัดการตัวเองไม่ได้ จนเริ่มถอยห่างจากระบบการศึกษาในที่สุด แต่เมื่อมองลึกลงไป ‘ข้างใน’ ชีวิตอันสลับซับซ้อนของเด็กแต่ละคน คุณครูผู้สังเกตการณ์ก็พบว่า ปัญหาพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนยังผลมาจากสภาพแวดล้อม ครอบครัว ไปจนถึงนิเวศรอบตัวเด็กอย่างลึกซึ้ง
“เด็กบางคนบริหารจัดการตัวเองไม่ได้เลย แต่เราก็โทษเด็กไม่ได้ เพราะตอนเราไปเยี่ยมบ้านเขา เราเห็นการเลี้ยงดู ความสัมพันธ์ในครอบครัว และสภาพครอบครัวที่มีปัญหา พ่อแม่ไม่อยู่ ต้องอยู่กับปู่ย่าที่ต้องออกไปทำงานเป็นประจำ เขาจึงต้องอยู่บ้านคนเดียวเป็นประจำ ปู่ย่าก็ทำได้เพียงซื้อข้าวมาวางไว้ให้ พอมาอยู่ที่โรงเรียนเขาก็ไม่ทำอะไร จัดการตัวเองไม่ได้ นิ่งๆ ไม่เอาอะไรเลย พอเริ่มโตขึ้นอีกหน่อยก็เริ่มควบคุมตัวเองได้ไม่ดี มีพฤติกรรมเสี่ยงหลายอย่าง ปู่ย่าก็ผลักไปให้พ่อที่ไปทำงานอยู่ที่อื่น แต่พอไปอยู่กับพ่อก็ทะเลาะกับญาติ สุดท้ายเลยส่งเด็กคนนี้กลับมาอยู่กับปู่ย่าเหมือนเดิม อันนี้น่าจะเกี่ยวกับครอบครัวด้วยที่จะต้องช่วยเขาเหมือนกัน” ครูอ้อเล่า
“เขาไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน” ครูหนิงยกตัวอย่างชีวิตของเด็กอีกคนหนึ่งขึ้นมาเล่าต่อ เขาเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวโดยไร้บ้าน จากการที่แม่ของเด็กทะเลาะกับป้าที่เลี้ยงดู ทำให้ป้าไล่ทั้งสองคนออกจากบ้าน โดยแม่ได้ทิ้งลูกวัยรุ่นเอาไว้ในชุมชน ก่อนจะไปทำงานที่อื่น ซึ่งตอนแรกเด็กไปขออยู่บ้านญาติ แต่ญาติไม่ให้อยู่ด้วย จึงต้องไปขออยู่กับเพื่อน สุดท้ายก็ทะเลาะกับยายเพื่อน ยายเพื่อนก็เอาเงินของเด็กคนนี้ที่มีอยู่เดิมจากการขายที่ดินของแม่ไป โดยอ้างว่าเป็นค่าเลี้ยงดู เขาจึงเป็นเด็กเร่ร่อน ไปนอนบ้านนั้นทีบ้านนี้ที
“ตอนนั้นเราทำกิจกรรมที่ชื่อว่า ‘ใจแฟบ-ใจฟู’ เป็นกิจกรรมที่ชวนมาทบทวนว่าชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ปรากฏว่าเด็กคนนี้เขาชอบกลางวัน ไม่ชอบกลางคืน ไม่ชอบความโดดเดี่ยว และไม่ชอบความมืด” ครูกิ๊กเล่าต่อเพื่ออธิบายสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจนักเรียนของเธอ
“พฤติกรรมที่สะท้อนออกมาจากเขาคือ เขากลายเป็นเด็กที่ไม่พูดความจริง เพราะพยายามที่จะปกป้องตัวเองและหาทางเอาตัวรอดอยู่เสมอ เคสนี้ยากมาก เขาไม่ไว้ใจใครเลย คนที่เขาไว้ใจบ้าง มีแค่เพื่อนบางคนที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบ” ครูอ้อสะท้อนเพิ่มเติม
นอกจากปัญหาพฤติกรรมที่เป็นผลพวงมาจากชีวิตอันหนักหนาสาหัสของเด็กแต่ละคนแล้ว สำหรับเด็กหลายคนปัญหาที่พวกเขาเผชิญคือสถานะทางเศรษฐกิจ ต้องกลายเป็นอีกหนึ่งแรงทำงานช่วยครอบครัวหารายได้
“เด็กบางคน เราเข้าใจมาก เขามีความจำเป็นต้องไปช่วยพ่อแม่กรีดยางตอนกลางคืน บางคนกรีดจนถึงตีสี่ แล้วตีสี่เขาก็มาโรงเรียนเลยไม่ได้ ต้องกลับไปนอนก่อน สุดท้ายก็ตื่นไม่ไหว” คุณครูฉายให้เห็นภาพเส้นทางชีวิตในหนึ่งวันของเด็กบางคนที่จำเป็นต้องช่วยงานที่บ้าน ทำให้ ‘โอกาส’ ในการเข้าเรียนตามระบบปกติมีประสิทธิภาพและอยู่ในชีวิตของเด็กน้อยลงโดยปริยาย
‘ห้องเรียนระบบ 2’ เป็นหนึ่งโอกาสและทางเลือก
โจทย์ที่ยากในการทำงานท่ามกลางปัญหาชีวิตที่แตกต่างกันออกไปของเด็กคือ จะทำอย่างไรให้พวกเขายังคงสามารถไปถึงเป้าหมายการเรียนรู้ และยังได้มีโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดในชีวิตเหล่านั้น
‘ห้องเรียนระบบ 2’ โรงเรียนห้วยซ้อฯ พยายามเป็นพื้นที่การศึกษาที่ยืดหยุ่น ลดความสูงของรั้วโรงเรียนให้นักเรียนพอจะก้าวข้ามไปมาได้ ผ่านรูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นการทำกิจกรรมนอกห้องเรียน และมีครูที่ปรึกษาคอยติดตาม สังเกตการณ์ และประเมินผลอย่างใกล้ชิด โดยที่นักเรียนไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนทุกวัน สามารถเรียนรู้ ทำการบ้าน เข้าถึงเนื้อหา และได้รับการประเมิน ในขณะที่อยู่นอกรั้วโรงเรียนได้ ทั้งยังสามารถทำงานควบคู่ไปกับการเรียนได้อีกด้วย
“ในมุมของครูกิ๊กคิดว่า ห้องเรียนระบบ 2 เป็นการมอบโอกาสให้กับเด็ก อย่างบางคนต้องช่วยที่บ้านกรีดยางตอนกลางคืน ไม่สามารถที่จะมาเรียนตอนเช้าได้ หรือการที่เขามาเรียนแต่ไม่พร้อมที่จะเรียน เพราะง่วงจนต้องนั่งหลับ สุดท้ายห้องเรียนก็ไม่เป็นประโยชน์กับเขา แทนที่จะช่วยที่บ้านได้ด้วย แล้วตัวเองก็ยังสามารถเข้าถึงการเรียนรู้และเข้าถึงการพัฒนาทักษะในชีวิตได้ด้วย อีกส่วนหนึ่งระบบนี้ก็ได้ช่วยเด็กที่มีปัญหาด้านพฤติกรรม ขาดเรียน หรืออื่นๆ โดยพวกเราก็ค่อยๆ แก้ไข คอยติดตามงาน ให้เด็กเหล่านั้นได้เข้าถึงการเรียนรู้ในแบบต่างๆ”
“ตอนแรกที่โรงเรียนจะทำระบบ 2 เราก็คิดในใจว่า ระบบการศึกษาไม่ได้มีแค่ ‘ในระบบ’ กับ ‘นอกระบบ’ ถ้าเด็กอยู่ในระบบไม่ได้ ก็ให้ไปเรียน กศน. ก็ได้ ทำไมต้องมีระบบ 2 ขึ้นมา แต่พอมาเจอกรณีที่เด็กไม่ได้อยากทิ้งโอกาส ตอนเขาอยู่โรงเรียน เขาก็เรียนได้ ทำกิจกรรมได้ เขายังอยากเรียนรู้ต่อ แต่ข้อจำกัดในชีวิตไม่เอื้อ เราเลยอยากทำงานกับเด็กกลุ่มนี้” ครูอ้อแบ่งปันมุมมอง
“จริงๆ แล้วเด็กชอบมาโรงเรียน”
เป็นประโยคสั้นๆ ที่เอ่ยขึ้นมาจากครูหนิง ก่อนที่ครูกิ๊กและครูอ้อส่งเสียงสมทบเห็นด้วยทันที โดยครูหนิงได้ขยายความประโยคนี้ว่า “เด็กบางคนที่ปกติไม่มาโรงเรียนเลย พองานกีฬาสี หรือถ้าโรงเรียนมีกิจกรรมที่ท้าทาย ทำอะไรแปลกๆ ที่ไม่ใช่การเรียนแบบซ้ำๆ เขาจะมา”
“อย่างนาย A (นามสมมติ) เขาเป็นเด็กระบบ 2 พอมีกีฬาสี เขาจะมาช่วยดูโยธวาทิต เพราะเขาชอบทำกิจกรรม” ครูกิ๊กเสริม
“เด็กน่าจะเบื่อการเรียนในห้อง เพราะเด็กรุ่นนี้เขาเติบโตมากับเทคโนโลยี แต่กิจกรรมบูรณาการ เด็กกลับให้ความร่วมมือดีมาก” อีกเสียงจากครูอ้อ ผ่านสายตาและการสังเกตเด็กๆ ที่เธอดูแล
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนระบบ 2 ของโรงเรียนห้วยซ้อฯ จึงเน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการ ออกแบบกระบวนการให้สร้างสรรค์และน่าสนใจให้เด็กๆ อยากกลับมาเข้าร่วม โดยการทำงานร่วมกันของครูและผู้อำนวยการอย่างเข้มข้น ทั้งการสำรวจความต้องการของเด็กว่า เขาอยากเรียนอะไร สนใจอะไร ต้องการอะไร และมีวิธีการเรียนรู้แบบไหนบ้าง ก่อนที่จะมาประชุมวางแผนร่วมกัน เพื่อออกแบบกิจกรรมให้สนุกสนานและยืดหยุ่นพอให้เด็กสามารถเข้าร่วมเรียนรู้ได้
“กลายเป็นเด็กระบบ 1 ก็มาบอกครูว่า ครูทำแบบนี้ให้หนูบ้าง” ครูกิ๊กเล่า
“เด็กระบบ 1 เขาเห็นเด็กระบบ 2 ทำกิจกรรมเยอะ อยากเรียนอะไรก็ได้เรียน เขาก็บอกว่า ครูพาทำกิจกรรมแบบนั้นหน่อย” ครูอ้อชี้ชวนให้เห็นว่าเด็กหลายคนในระบบปกติเองก็ต้องการเรียนรู้อย่างหลากหลายและมีพื้นที่การเติบโตที่ดีต่อใจไม่น้อยไปกว่ากัน
ทว่า ในการทำงานส่วนนี้ก็มีประเด็นท้าทายอยู่ไม่น้อย กับหมุดหมายที่จะทำห้องเรียนระบบ 2 ให้แข็งแรงขึ้น และมีการพัฒนาวิชาบูรณาการให้เป็นระบบและชัดเจนขึ้น
“จากที่พวกเราทำกันเอง บอกเลยว่าเราเหนื่อยมาก กว่าจะได้มาหนึ่งแผนของแต่ละชั้นก็เป็นอาทิตย์เหมือนกัน แต่พอเราเห็นผลที่เกิดกับเด็ก มันก็โอเค เราก็คิดว่า น่าจะมาถูกทางแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าแบบไหนจะดีที่สุด เพราะนี่เป็นการเริ่มต้น เป็นการคลำทางกันมา ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ค้นพบจากการจัดการเรียนแบบบูรณาการคือ การสอนคนเดียวไม่ดีเท่าสอนด้วยกันหลายคน
“ในขณะที่มีครูคนหนึ่งพูดหน้าห้อง อีกคนอยู่หลังห้อง เราจะสามารถเก็บตกเด็กที่เขานั่งอยู่ข้างหลังได้ อย่างเราไปร่วมสอน ม. 2 แล้วมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่มองเผินๆ เหมือนเขาจะดื้อ แต่พอไปสังเกตก็เห็นว่าที่เขาไม่ทำ เพราะเขาฟังครูที่อยู่หน้าชั้นไม่ทัน ครูหนิงที่อยู่หลังห้องก็เดินเข้าไปถามว่าทำไมไม่ทัน เขาก็บอกว่า ‘ครูผมเขียนไม่เป็น รูป 6 เหลี่ยมอะไรก็ไม่รู้’ พอเราไปอธิบาย ปรากฏว่าเขาเริ่มทำ การมีครูลงทุกกลุ่ม ทำให้เด็กมีความแอคทีฟมากขึ้น เป็นชั่วโมงเรียนที่เด็กทุกคนได้เรียนรู้จริงๆ”
ครูผู้มองเห็นชีวิตของเด็ก
จากการสังเกตและทำงานกับเด็กอย่างละเอียดและรอบด้านของโรงเรียน เป็นจุดขับเน้นสำคัญให้การขับเคลื่อนห้องเรียนระบบ 2 ดำเนินมาแล้วกว่า 2 ปี และมากไปกว่าการให้โอกาสเด็กในการกลับมายึดโยงกับระบบการศึกษาอีกครั้งได้ ยังฉายให้เห็นบทบาทและความหมายของ ‘ครู’ ในชีวิตของเด็กคนหนึ่งมากกว่าแค่ผู้สอนหน้าชั้นเรียน
“เด็กเข้าถึงครูได้ง่ายขึ้น ทักแชท ทักไลน์มา” เสียงยืนยันจากครูอ้อ
“ทุกวันนี้เด็กมีอะไรก็ทักมา ปอดฉีก เหมือนมีอะไรทิ่มปอดก็ทักมา” ครูกิ๊กเสริม
“วันนั้นเด็กโทรมาว่า กินอะไรก็ไม่รู้แล้วเป็นผื่น เขาอยู่กับพ่ออุ้ย (ปู่/ตา) เราก็เลยไปหา นึกว่าจะได้ไปช่วยแปปเดียว แต่กลายเป็นว่าเลยไปจนถึงเที่ยงคืน ช่วยดูจนผื่นดีขึ้น เหมือนกู้ภัยค่ะ ทำทุกอย่าง” ครูหนิงเล่าบ้าง
“วันก่อนไปส่งเด็กที่หอพัก เขามาบอกว่า ‘ครูครับผมปวดท้อง’ วันอาทิตย์ก็พาเด็กไปส่งหาหมอ และมีครั้งหนึ่งแม่เด็กคนหนึ่งโทรหาลูกไม่ติด ก็โทรมาหาครู” ครูอ้อเล่าเคสของตัวเอง
‘ครู’ กลายเป็น ‘ใครสักคน’ ที่มีความหมายในชีวิตของเด็กจริงๆ เป็นคนที่มีบทบาทในการทำความรู้จักเด็กคนหนึ่งอย่างลึกซึ้ง หรือคงไม่มากไม่น้อยจนเกินไปหากจะบอกว่า ครูคือผู้มองเห็นชีวิตของเด็กอย่างรอบด้านอีกคนหนึ่งในผู้คนทั้งหมดรอบตัวเด็ก เป็นพื้นที่ปลอดภัยในวันที่นึกไม่ออกว่า จะหันไปทางไหนด้วยเงื่อนไขข้อจำกัด จากสภาพสังคมและครอบครัว
———
ในทางหนึ่งการทำงานหนักของครูและโรงเรียนห้วยซ้อฯ ก็ได้เปิดประตูอีกบานเอาไว้ให้นักเรียนได้หันกลับเข้ามาพักพิง พึ่งพา ปรึกษา และพัฒนาชีวิตของพวกเขาให้ก้าวผ่านช่วงยากๆ ต่อไปได้ในระหว่างการเติบโต และแม้บทสนทนากับคุณครูทั้ง 3 คนในครั้งนี้ จะยืนยันถึงเจตนารมณ์และความตั้งใจของพวกเธอในการทำงานเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และการเติบโตในชีวิตของเด็กอย่างจริงจัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอดการพูดคุย เราก็ได้ยินน้ำเสียงของความเหนื่อยล้า หนักใจ ทดท้อ อยู่เป็นระยะจากการทำงานอย่างหนัก ปะปนอยู่กับน้ำเสียงแห่งความมุ่งมั่นและเปี่ยมความหวังที่จะขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงการศึกษาให้ยืดหยุ่น และทำให้การเรียนรู้อยู่ได้ทุกที่ ไม่ใช่แค่ในรั้วโรงเรียน โดยมีหมุดหมายอยู่ที่การเรียนรู้และการเติบโตของผู้เรียนอย่างมีความหมาย
ครูหนิงทิ้งท้ายความหวังที่อยากจะเห็นในตัวเด็กๆ ที่กำลังเติบโต จากทั้งในและนอกรั้วโรงเรียนห้วยซ้อฯ เอาไว้อย่างสั้นกระชับ แต่มากด้วยความหมายว่า
“เราอยากให้เขาเอาตัวรอดได้
และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ‘ด้วยตัวเขาเอง’ ก็เพียงพอแล้ว”