ความเหลื่อมล้ำฝัง DNA: จงร่ำรวยไปอีกนาน หรือไม่ก็ยากจนไปอีก 5 ชั่วโคตร!2 min read
“กฎหมายก็เหมือนกับใยแมงมุม ที่จะดักจับได้เฉพาะคนอ่อนแอและยากจน แต่จะแหลกสลายไม่เป็นชิ้นดีเมื่อเจอกับคนรวยและผู้มีอิทธิพลบารมี” อแนคคาร์ซิส (Anacharsis) นักปรัชญาชาวไซเทียน (Scythians) กล่าวไว้เมื่อ 6 ศตวรรษ ก่อนคริสตกาล
ส่วนในศตวรรษปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องมีนักปราชญ์ใดมากล่าวคำขยายความ เพราะภาพประจักษ์ก็มักปรากฏให้เห็นจนชินตา ยามใดก็ตามที่กระบวนการยุติธรรมเกิดขึ้นกับคนมีเงิน ใช่หรือไม่ว่าเราพอจะคลำทางได้ว่าคำพิพากษาจะออกหัวหรือก้อย
ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม แต่กระบวนการยุติธรรมมักเกี่ยวข้องกับตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ และหลักการทางเศรษฐศาสตร์ก็สัมพันธ์กับความเหลื่อมล้ำต่ำสูง และความเหลื่อมล้ำที่ว่า ก็มีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องขบคิด มียักษ์ใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในที่แจ้ง และมีมิติต่างๆ ให้พิจารณาควบคู่กันไป
โครงการผู้นำแห่งอนาคต ชวน สฤณี อาชวานันทกุล นักเศรษฐศาสตร์ นักเขียน นักแปล นักวิจัย และนักวิชาการอิสระ มาฉายภาพเหล่านั้นที่เกริ่นมาข้างต้น ในเวทีพัฒนาศักยภาพผู้นำ: ผู้นำร่วมสร้างสุข (Leadership for Collective Happiness – LCH) โมดูล 1 ปัญญาโลก ปัญญาชีวิต ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ศูนย์ฝึกอบรมงานอภิบาล ‘บ้านผู้หว่าน’ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
![](https://www.leadershipforfuture.com/wp-content/uploads/2020/03/LCHโมดูล1-ปัญญาโลก-ปัญญาชีวิต-303-842x562.jpg)
ความอยุติธรรม ผลข้างเคียงความเหลื่อมล้ำ
สฤณี อาชวานันทกุล เริ่มต้นด้วยการอธิบายว่า ในยุคนี้เราจะพบว่าความเหลื่อมล้ำนั้นมีหลายมิติ ซึ่งแต่ละมิติมีความเชื่อมโยงกัน ไม่ใช่แค่เรื่องรายได้หรือทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงความเหลื่อมล้ำด้านสิทธิ โอกาส กระทั่งความยุติธรรมด้วย
“ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และทรัพย์สิน ถ้าเกิดขึ้นมากๆ ในสังคมที่มีปัญหาเรื่องการแข่งขัน มีกติกาไม่เท่าเทียมกัน มันก็จะยิ่งซ้ำเติมเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และทรัพย์สิน ซึ่งเรื่องกติกาการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกันนั้น มันผูกโยงกับเรื่องของความเหลื่อมล้ำในสิทธิและโอกาสในการมีส่วนร่วมทางการเมือง
“ถ้าสังคมมีความเหลื่อมล้ำในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย หรือการอภิปรายประเด็นสาธารณะ กติกาอะไรที่มันเอียงๆ แย่ๆ นั้น ก็อาจจะไม่ได้รับการแก้ไข เพราะคนที่มีอำนาจเหนือตลาด หรือมีทรัพยากรทางเศรษฐกิจสูง กำลังจะครอบครองทรัพยากรทางการเมืองด้วย หรือเรียกว่าครอบครองอำนาจทางการเมืองด้วยเช่นกัน นี่คือความเชื่อมโยง
ว่ากันด้วยกระบวนการยุติธรรม หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่า กระบวนการใช้ความยุติธรรมนั้นต้องเกิดขึ้นบนกติกาแบบใช้ผ้าปิดตา นั่นคือผู้ตัดสินพิจารณาคดีความต่างๆ ต้องไม่เห็นว่าคู่กรณี โจทก์ จำเลย นั้นสูงต่ำดำขาวแตกต่างกันอย่างไร กล่าวให้ชัดกว่านั้นคือ กระบวนการยุติธรรมต้องไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่ากับผู้ใดทั้งสิ้น
นั่นคือแนวคิดและหลักการ แต่หลักปฏิบัตินั้น เราคงเห็นๆ กันอยู่กระมัง
“ถ้าเรามองไปยังกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย บางทีเรารู้สึกว่า ถ้าเรารู้ว่าจำเลยเป็นใคร เป็นพวกไหน มันพอเดาผลลัพธ์ได้ดีกว่ารู้เรื่องอื่นทั้งหมด นี่คือปัญหาใหญ่ของกระบวนการยุติธรรม นักวิจัยหลายๆ คนที่ทำเรื่องของความเหลื่อมล้ำก็พยายามที่จะศึกษารายละเอียดมากขึ้นว่า ความเชื่อมโยงเหล่านี้หน้าตาเป็นอย่างไร และมันส่งผลกระทบแย่ๆ อย่างไร ทำไมเราต้องพูดถึงเรื่องนี้”
เมื่อคนจนและคนรวย อยู่กันคนละโลก
สฤณีเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนนั้นนักเศรษฐศาสตร์บอก ‘ความเหลื่อมล้ำมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้’ หมายความว่า มันไม่มีทางหรอกที่จะเท่าเทียมกัน เพราะหากเราใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม มันก็ต้องมีบางคนรวย มีบางคนจน และนั่นทำให้ความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ แต่วันเวลาเปลี่ยน ท่าทีของประโยคดังกล่าวก็เปลี่ยน เพราะผลลัพธ์ของมันนั้นไม่สามารถเมินเฉยด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาอีกต่อไป
“พอเวลาผ่านไป วันนี้นักเศรษฐศาสตร์ก็เริ่มรู้แล้วว่า ความเหลื่อมล้ำนั้นบางทีมันก็เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้ามันเหลื่อมล้ำมากๆ มันมีปัญหา มันส่งผลกระทบ ซึ่งถ้าใครสนใจเรื่องนี้ก็หาอ่านได้ในหนังสือเรื่อง ราคาของความเหลื่อมล้ำ: The Price of Inequality โดย อาจารย์โจเซฟ อี. สติกลิตซ์ (Joseph E. Stiglitz) ซึ่งอาจารย์เขาก็พยายามเรียบเรียงไว้ว่า ความเหลื่อมล้ำที่สูงมากๆ ส่งผลต่อเศรษฐกิจด้วย มันทำให้การเติบโตแบบฐานกว้าง exclusive economic เกิดขึ้นยาก พอความเหลื่อมล้ำสูงมากๆ คนที่รวยมากๆ ก็มีโอกาสที่จะไปครอบงำทางการเงิน ทำให้เขาสามารถเขียนกติกาหรือดึงกติกาแย่ๆ เก่าๆ ที่มันเอียงเข้าข้างเขาให้คงอยู่ต่อไป แล้วทำให้การแข่งขันด้านนวัตกรรมต่างๆ เกิดขึ้นได้ยาก”
![](https://www.leadershipforfuture.com/wp-content/uploads/2020/03/DSC_5939-842x562.jpg)
คำบอกเล่าของสฤณี อ้างแนวคิดของ อาจารย์ไมเคิล แซนเดล (Michael Sandel) นักปรัชญาการเมือง ซึ่งบอกว่า ประชาธิปไตยสมัยใหม่นั้น ต้องเป็นประชาธิปไตยการมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) กล่าวคือ ต้องหาฉันทามติกันได้ ซึ่งเรื่องนี้ไมเคิล แซนเดล เป็นห่วงว่าความเหลื่อมล้ำที่สูงมากนั้น แปลว่าคนที่มีทรัพยากรสูงมากก็จะมีชีวิตที่อยู่กันคนละโลกกับคนที่มีทรัพยากรน้อย
เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร
“ถ้าเราเกิดในตระกูลที่มีทรัพย์สินเป็นพันล้าน คุณแทบจะไม่เคยมาข้องแวะกับคนที่มีทรัพย์สินติดตัวพันบาท อยู่กันคนละโลกอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่เกิดจนตาย โรงเรียนก็ไปคนละโรงเรียน ไปที่ไหนก็อยู่กันคนละที่
อาจารย์จึงบอกว่า ตรงนี้น่าจะเป็นปัญหาเพราะว่า พอคุณไม่ได้มาเจอกันในพื้นที่สาธารณะ หรือที่ไหนก็แล้วแต่ที่จะได้มาคุยกัน คุณก็เข้าใจซึ่งกันและกันน้อยลง คนจนก็ไม่เข้าใจคนรวย คนรวยก็ไม่เข้าใจคนจน แล้วอย่างนี้ โอกาสที่จะมีฉันทามติหรืออะไรก็ตามที่รู้สึกว่ามันสำคัญกับประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้อย่างไร”
![](https://www.leadershipforfuture.com/wp-content/uploads/2020/03/p0d7sgnnp9aeONpTmB9-o-1-789x562.jpg)
คนไทยผู้มั่งคั่งยังมี
“รายงานปี 2016 ที่คนไทยเอามาใช้เยอะมาก มาจาก Credit Suisse ซึ่งเป็นธนาคารระดับโลกที่ให้บริการเรื่องคหบดีธนกิจ หรือ การเงินของคนรวย (wealth management) มีลูกค้าเป็นคนไทยด้วยเยอะมาก เขาทำรายงาน Wealth Report หรือรายงานความมั่งคั่งของโลกปี 2016 ประเทศไทยอยู่ TOP 3 หรือถ้าปีที่แล้ว คนไทยก็ยังอยู่ TOP 4”
หากดูกราฟที่สฤณีนำมาอธิบาย จะเห็นได้ว่า เมื่อพิจารณาด้านทรัพย์สิน เราอยู่ TOP 5 ของโลก แต่หากดูเรื่องความเหลื่อมล้ำ สฤณีบอกว่า มีงานวิจัยจำนวนมากที่ยืนยันว่า คนไทย 3 ใน 4 ของประเทศไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน และโอกาสที่ที่ดินจะหลุดมือก็มีมากขึ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยกลไกง่ายๆ แต่จัดการยาก คือยิ่งจนยิ่งเป็นหนี้ และยิ่งหนี้เยอะความสามารถในการชำระหนี้ก็ต่ำลง ที่ดินหลุดมือจึงเกิดขึ้นในห้วงนี้เอง เมื่อชำระหนี้ด้วยเงินไม่ได้ก็ต้องจ่ายด้วยที่ดิน
“เราลองดูค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ แน่นอนมันรวมคนรวยคนจนเข้าด้วยกัน รายได้ต่อหัวของเราก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่า อัตราการจัดเก็บภาษีของเราแทบจะไม่เพิ่ม ก็ต้องเป็นคำถามแล้วล่ะภาษีมันอยู่ที่ไหน”
![](https://www.leadershipforfuture.com/wp-content/uploads/2020/03/image-2.png)
เจริญแบบเหงาๆ ก้าวหน้าตามลำพัง
ประเทศไทยเป็นเมืองโตเดี่ยว (private city) หากวัดจากจำนวนประชากรจะพบว่า เมืองที่มีประชากรมากที่สุดอันดับหนึ่งเปรียบเทียบกับอันดับสองนั้น กลับมีตัวเลขต่างกันลิบลับ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นจะพบว่า กราฟของประเทศไทยนั้นมีลักษณะการกระจายตัวของประชากรแตกต่างกันชัดเจน
![](https://www.leadershipforfuture.com/wp-content/uploads/2020/03/image-1-1000x536.png)
“จะเห็นว่าของเราคือสีชมพู เส้นหักข้อศอกเลย เมืองที่มีคนเยอะที่สุด มีจำนวนคนมากกว่าเมืองที่รองลงมาหลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่เส้นจะดูสโลป (slope) มากกว่า อย่างมาเลเซียหรือเกาหลีใต้ เส้นมันจะค่อยๆ เป็นสโลปลงมาอย่างสวยงาม เพราะว่าประเทศอื่นเขาพัฒนาเมืองใหญ่ที่สามารถกระจายความเจริญได้ดีกว่าเมืองไทย”
สฤณีบอกว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) เราโตขึ้นทุกปี แต่ว่ารายได้ของเราไม่ได้โตตาม ข้อมูลนี้มาจากงานวิจัยของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ซึ่งอธิบายว่า ค่าสัมประสิทธิ์จีนี (Gini Coefficient: วิธีวัดสถิติอย่างหนึ่งที่มักนำมาใช้บ่งชี้เรื่องความเหลื่อมล้ำ) ผงกหัวขึ้นตั้งแต่ปี 2015 แต่รายได้ครัวเรือนไทยกลับลดลง ซึ่งการที่ GDP เพิ่มขึ้นนี้ ก็พออนุมานได้ว่าใครรวยขึ้น
ข้อมูลนั้นสอดคล้องกับงานวิจัยของ รศ.ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ ที่ปรึกษา สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งศึกษาเรื่องความเหลื่อมล้ำในมุมมองของผู้ประกอบการ
สฤณีบอกว่า งานวิจัย รศ.ดร.กฤษฎ์เลิศ นั้นน่าทึ่งมาก เพราะได้เอาจำนวนกิจการที่จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ทุกรายการ ตั้งแต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้นไปจนถึงบริษัทจำกัดมหาชน ซึ่งพบว่ามีมหาเศรษฐี 500 คน ครองส่วนแบ่งกำไรในภาคธุรกิจไทยถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และมหาเศรษฐี 500 คนนั้น ก็เป็นผู้ถือหุ้น 36 เปอร์เซ็นต์ ในภาคธุรกิจไทยด้วย
บริษัทที่ใหญ่ที่สุด 5% มีส่วนแบ่งรายได้ 85% ของรายได้ภาคธุรกิจทั้งหมด ที่มา: Banternghansa, Paweenawat and Samphantharak (2019)
ความเหลื่อมล้ำที่นำไปสู่การผูกขาดอำนาจ
ข้อสังเกตอีกด้านที่บางครั้งแม้เราสงสัยก็มักได้แต่จำนน คือกลุ่มทุนใหญ่เหมือนปลาตัวโตที่กินปลาตัวเล็กไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องพะวงว่าจะท้องแตกตาย หรือเป็นต้นไทรใหญ่ที่กิ่งก้านสาขาปกคลุมแผ่นดินเบื้องต้น รากแทงลึกแผ่ขยายในพื้นล่าง ขณะเดียวกันก็โอบรัดกลืนกินไม้เล็กไม้น้อยไม่ให้เติบโต
นานวันเข้าปลาใหญ่ยิ่งเติบโต หลายวันเข้าต้นไทรใหญ่ยิ่งล้มยาก
ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การล้มได้หรือไม่ล้มของกลุ่มทุนใหญ่โตเหล่านั้น แต่ความน่าสนใจก็คือว่า อิทธิพลของกลุ่มทุนเหล่านั้นส่งผลอะไรต่อความเหลื่อมล้ำ สฤณีอธิบายผ่านการศึกษาของ รศ.ดร.กฤษฎ์เลิศ ว่า
![](https://www.leadershipforfuture.com/wp-content/uploads/2020/03/LCHโมดูล1-ปัญญาโลก-ปัญญาชีวิต-378-842x562.jpg)
“อำนาจตลาดมันมาได้หลายแบบ บางคนอาจจะบอกว่า ก็เขาเก่ง เขาเป็นนักธุรกิจที่เก่ง ฝ่าฟันขึ้นมา มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะเป็นเบอร์หนึ่ง ก็คนอื่นไม่เก่งเอง ฉะนั้นมันอาจจะไม่ใช่ความผิดของเขาหรือเปล่า อาจารย์กฤษฎ์เลิศก็เลยต้องดูต่อไปว่า บริษัทต่างๆ ที่มีอำนาจทางการตลาดเยอะๆ นั้น ผลกระทบของมันคืออะไร ก็เจอว่า บริษัทที่มีอำนาจสูงๆ ในไทยนั้น มีลักษณะ 5 ข้อนี้
“หนึ่ง มีอัตราการเติบโตของผลิตภาพต่ำ สอง มีแนวโน้มที่จะส่งออกและโอกาสที่จะอยู่รอดในตลาดต่างประเทศต่ำ สาม มีจำนวนผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกและจำนวนประเทศปลายทางน้อย สี่ มีแนวโน้มที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ต่ำ และ ห้า มีอัตราการลงทุนต่ำ”
ลักษณะทั้ง 5 ประการนั้น มีคำลงท้ายว่า ‘ต่ำ’ ทุกข้อ แต่น่าแปลกที่กลุ่มทุนเหล่านี้กลับยืนเด่นเป็นสง่าในสังคมไทย ทั้งที่ออกไปสู้กับตลาดโลกแล้วไม่ได้เก่งกาจเท่าใดนัก
“ทั้งหมดนี้ก็คือดูจากลักษณะของบริษัทที่มีอำนาจตลาดสูง และพอจะอนุมานได้ว่าเก่งจริงหรือเปล่า หรือมีอำนาจตลาดสูงเพราะอะไร มันเป็นผลจากการที่เขาสามารถเข้าถึงกติกาที่ปกป้องตัวเอง คุ้มครองตัวเอง หรือว่าเป็นความเก่งกาจของการต่อสู้และคิดค้นนวัตกรรม”
ใครเป็นเจ้าของเทคโนโลยี
อาจจะที่ไหนสักแห่ง จากใครสักคน เรามักได้ยินว่า เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ทุกคนก็จะสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นตาม และเมื่อถึงวันนั้น การใช้เทคโนโลยีมาอุดช่องว่างทางอาชีพก็จะเกิดขึ้น ทุกคนสามารถหารายได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ปลายนิ้ว หรือกระทั่งเกษตรกรสามารถนั่งกระดิกเท้าอยู่ในร่มไม้แล้วปล่อยใช้ AI ปลูกพืช รดน้ำ กระทั่งเก็บเกี่ยวได้เสร็จสรรพ
จินตนาการตามมันก็คงดี แต่คำถามคือ ใช่หรือที่ทรัพยากรพื้นฐานด้านเทคโนโลยีนั้นปล่อยให้คนจนสามารถเข้าใช้งานได้แบบฟรีๆ
“ประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องเทคโนโลยี แรกเริ่มมีการตั้งข้อสังเกตว่า ‘ตกลง AI (ปัญญาประดิษฐ์: Artificial Intelligence) มันจะทำให้การเหลื่อมล้ำแย่ลงหรือดีขึ้น’ หลายคนก็มองไปในเชิงแง่ร้ายว่ามันน่าจะแย่ลง เพราะว่าใครล่ะที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีพวกนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่มีเงิน
เทคโนโลยีในตัวของมันเองไม่ได้ฟรีโดยพื้นฐาน เทคโนโลยีก็มีต้นทุนในการคิดค้น ในการพัฒนาและวิจัย ในเมื่อใช้เงินวิจัยและพัฒนาเยอะ แล้วอยู่ดีๆ ทำไมเขาถึงอยากปล่อยให้ทุกคนได้ใช้ฟรี เขาก็อยากตักตวงผลตอบแทน เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดไม่มีนโยบายสาธารณะ แล้วอะไรที่จะมากำหนดเทคโนโลยีต่างๆ รวมทั้งอินเทอร์เน็ตด้วยว่าเป็นสาธารณะของคุณ
“นักเศรษฐศาสตร์บางคนก็เลยบอกว่า ถ้าเราจะให้ผลประโยชน์จากเทคโนโลยีมันกระจายให้ดีกว่าเดิม เราต้องมาคุยกันใหม่แล้วว่า สินค้าสาธารณะ (public goods) รวมถึงอินเทอร์เน็ตด้วยไหม แล้วโปรดักส์ต่างๆ ที่มีผู้ใช้งานเป็นล้านๆ คนแต่ไม่ต้องจ่ายตังค์ได้ไหม ปัญญาชนที่ทำเรื่องนี้คือ อาจารย์ฌอง ทิโรล (Jean Tirole) ผู้ออกมาบอกเป็นคนแรกๆ ว่า เราต้องเปลี่ยนนิยามเรื่องของ public goods กันใหม่ แล้วเขาก็มีวิธีคิดเรื่องของการกำกับดูแลบริษัทยักษ์สาขาเทคโนโลยี เพราะการใช้อำนาจผูกขาดตรงนี้มันไม่เหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว ต้องคิดใหม่”
![](https://www.leadershipforfuture.com/wp-content/uploads/2020/03/DSC_5954-1-842x562.jpg)
เหล่านี้คือเงื่อนไข และข้อสังเกตว่าด้วยความเหลื่อมล้ำในมุมของนักเศรษฐศาสตร์ ผ่านการบอกเล่าโดย สฤณี อาชวานันทกุล ที่ขยายให้เห็นมิติของความเหลื่อมล้ำ ที่ฉีกกระชากผู้คนให้เข้าถึงสิทธิและโอกาสแตกต่างกัน ความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ การเข้าถึงฐานทรัพยากร การเข้าถึงบริการสาธารณะ เกี่ยวโยงกับการเข้าถึงสิทธิและโอกาส เกิดผลต่อเนื่องไปถึงการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม กระนั้นสิ่งที่หนักหน่วงเหลือเกินก็คือความเหลื่อมล้ำที่ฝังลึกถึง DNA ซึ่งสฤณีปิดท้ายด้วยความหวังอันริบหรี่และมืดมน
“ความเหลื่อมล้ำที่ค่อนข้างแย่คือความเหลื่อมล้ำที่ส่งผ่านรุ่นต่อรุ่น พ่อเกิดมาจนก็อยากให้ลูกรวย แต่ปรากฏว่าลูกก็ยังจนอยู่ดี นี่คือความเหลื่อมล้ำที่แย่มาก สืบทอดความจนไปเรื่อยๆ ใครจนอยู่แล้วก็จนต่อไป 5 ชั่วโคตร ใครรวยก็รวยไป 5 ชั่วโคตร”