ก่อการครู – Korkankru

ก่อการครู คลังความรู้ บทความ / บทสัมภาษณ์

รัฐไทยไม่ใช่เจ้าของการศึกษา
‘มหาลัย’ไทบ้าน’ โจนทะยานสู่ความเป็นไทในห้องเรียนสีชมพู

Reading Time: 3 minutes มหาลัยไทบ้านเป็นตัวอย่างหนึ่งที่เราพยายามสร้างทางเลือกให้กับคนในระบบ นั่นเพราะมีครูแบบเราไม่น้อยนะที่เจ็บปวด (suffer) ในระบบการศึกษา พวกเราเลยอยากทำให้เห็นว่า มันมีความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการเรียนรู้ เช่น การใช้รากฐานชุมชนเป็นฐาน Mar 8, 2023 3 min

รัฐไทยไม่ใช่เจ้าของการศึกษา
‘มหาลัย’ไทบ้าน’ โจนทะยานสู่ความเป็นไทในห้องเรียนสีชมพู

Reading Time: 3 minutes

ฉากหนึ่งของจังหวัดขอนแก่นถูกขนานนามว่า ‘ขอนแก่นโมเดล’ จากแผนพัฒนาเมืองของกลุ่มเอกชนให้เป็นเมืองอัจฉริยะ (smart city) หน้าตาของจังหวัดถูกปรับเปลี่ยนเหมือนภาพฝัน ความเจริญถูกโปรโมทบนจอภาพสามมิติ กระทั่งการประโคมข่าวของภาครัฐ ทว่าห่างออกไปสุดขอบจังหวัดขอนแก่น ประมาณ 100 กิโลเมตร การเข้าถึงของถนนหนทางราบเรียบ อินเตอร์เน็ต น้ำปะปา หรือไฟฟ้า ของ ‘อำเภอสีชมพู’ เรียกได้ว่า อยู่ในสภาพขี้ริ้วขี้เหร่ แม้ที่แห่งนี้จะมีต้นทุนทางธรรมชาติและทัศนียภาพงดงาม แต่ราวกับไม่มีผู้ใดมองเห็น

“มันเหลื่อมล้ำ เมืองขอนแก่นถูกเรียกว่า Smart City  แต่ทำไมบ้านของเราไม่ Smart เลย”

สัญญา มัครินทร์ เกิดและเติบโตที่อำเภอสีชมพู เขาใช้เวลา 15 ปีเต็ม ไปกับการเป็นครูในระบบการศึกษา กระทั่งการมาของโรคระบาดโควิด-19 ครูสัญญาต้องกลับบ้าน นั่นคือช่วงเวลาที่เขาได้พินิจรายละเอียดบ้านเกิดของตนเองอีกครั้ง ก่อนพบว่า บ้านของเขามีความงามไม่แพ้ที่ใด   

ในเวลาเดียวกัน การศึกษาที่มุ่งตอบโจทย์อุดมการณ์รัฐ ผ่านการตีกรอบและกดทับ นักเรียนไร้อิสรภาพในการเรียนรู้ คุณครูไร้อิสรภาพในการออกแบบห้องเรียน ตำราเรียนที่มุ่งตอบโจทย์ความเชื่อของรัฐกลายเป็นความจริงอันสูงสุดที่มิอาจตั้งคำถามขัดแย้ง ไปจนถึงการแทรกแซงและแทรกซึมของอำนาจนิยมทุกซอกหลืบของระบบการศึกษา คือฟางเส้นสุดท้ายของเขาในฐานะ ‘ครูในระบบ’

“เรารู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่ากับการเป็นครูในระบบ เรารู้สึกว่า ‘วันจันทร์อีกแล้วเหรอ’ วิธีคิดของเรากับระบบการศึกษามันไปคนละทาง เราต้องเจออำนาจนิยม การจัดอันดับ (ranking) การศึกษาแบบควบคุม เราเลยตัดสินใจลาออกเพื่อนับหนึ่งใหม่ คือการก่อตั้งมหาลัยไทบ้าน” 

สัญญาหันหลังให้ห้องเรียนสี่เหลี่ยม เขาหอบกระเป๋ากลับบ้าน เพื่อสร้างห้องเรียนแห่งใหม่ที่ไร้กรอบกำแพงกั้น โดยมีตนเองเป็นนักเรียนคนแรก

เที่ยววิถีสีชมพู

แรกเริ่มเดิมที สัญญาและเพื่อนพ้อง ปรารถนาให้สีชมพูกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีชุมชน เขาและเพื่อนเริ่มสำรวจประวัติศาสตร์​ ภูมิศาสตร์ เส้นทางการท่องเที่ยว ทรัพยากรธรรมชาติ และต้นทุนของพื้นที่โดยมีจักรยานเป็นยานพาหนะคู่ใจ 

“จุดเด่นของที่นี่ยังมีความเป็นชุมชนชนบทชัดเจนมาก พื้นที่ของเราอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูผาม่าน มีทรัพยากรสำคัญคือเขาหินปูน มีเรื่องราวของนักต่อสู้และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ เพราะเป็นพื้นที่คอมมิวนิสต์เก่า คนยุคก่อนเขาต่อสู้เรื่องที่ดินทำกินมายาวนาน”

กลุ่ม ‘เที่ยววิถีสีชมพู’ ก่อตั้งขึ้น โดยใช้การท่องเที่ยวเป็นสิ่งดึงดูดและสร้างการมีส่วนร่วม ในแบบฉบับของตัวเอง นั่นคือการเข้าไปสานสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่จะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญ ทั้งคนรุ่นใหม่ ผู้ประกอบการ เกษตรกร โรงเรียน ภาคเอกชนในพื้นที่ รวมไปถึงหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อชวนเขาเหล่านั้นมาออกแบบพื้นที่และกิจกรรมผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยมีผลประโยชน์ของชุมชนเป็นหัวใจสำคัญ

“การที่เราพาเด็กขึ้นไปบนภูเขา ทำให้เด็กๆ ได้รู้ว่า อีกฝั่งหนึ่งของภูเขาถูกสัมปทานให้เหมืองหินปูน ภูเขาลูกนี้อาจจะหายไปถ้าเราไม่ได้มาใส่ใจกับมัน เราใช้การเรียนรู้กับการท่องเที่ยวเป็น soft power ซึ่ง soft power ไม่ได้หมายความว่าต้องใส่ชุดไทยหรือทำอาหารไทยเหมือนที่รัฐบอก แต่คือการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ให้เด็กได้เชื่อมชุมชนเข้ากับประสาทสัมผัสทุกมิติ อันนี้เป็น soft power ที่ทรงพลัง”

“พอเราทำเรื่องการท่องเที่ยว ชุมชนรู้สึกมีส่วนร่วม เพื่อนๆ เขาสนุก ส่วนเราในฐานะครู เราสนใจเรื่องการเรียนรู้ เลยลองเอาเด็กๆ ไปเชื่อมโยงกับเรื่องท่องเที่ยว พาไปเรียนรู้กับธรรมชาติ พาไปเรียนรู้กับชุมชน เราไม่อยากเห็นการท่องเที่ยวที่คนมาใช้เวลาถ่ายรูป แล้วก็กลับไป แต่การเรียนรู้ทำให้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนกันกับคนในชุมชน การท่องเที่ยวอาจช่วยเพิ่มรายได้ชุมชนในระดับหนึ่ง แต่การเรียนรู้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝั่ง พวกเราเลยขยับมาก่อตั้งเป็นมหาลัยไทบ้าน”

ไทมุง / ไททอร์ค / ไททำ / ไททริป ของ ‘ไทบ้าน’

มหาลัย’ไทบ้าน ได้รับแนวคิดจาก ‘มหาลัยเถื่อน’ โดยกลุ่มมะขามป้อม พวกเขาเชื่อเรื่องการเรียนรู้ในความสัมพันธ์เชิงแนวระนาบ หมายถึงการไม่ผูกขาดอำนาจที่ใครคนใดคนหนึ่ง นั่นทำให้พื้นที่ของมหาลัยไทบ้าน ทุกคนสามารถเป็นได้ทั้งนักเรียนและครู ผ่านกระบวนการสลับบทบาท ผลัดกันเรียน เปลี่ยนกันสอน แล้วกระบวนการเรียนรู้ที่ว่า มีหน้าตาอย่างไร 

หลักสูตรของมหาลัยไทบ้าน  คือการกินอยู่ร่วมกันเป็นเวลา 4 วัน 3 คืน ผ่านกิจกรรม 4 ส่วน คือ

  • ไทมุง – วงสนทนาสำหรับการฟุ้งและฝัน แลกเปลี่ยนไอเดียกันไปมา เพื่อสร้างความสัมพันธ์ของผู้คนแปลกหน้า มีตั้งแต่วงไทมุงแบบจริงจัง นั่งเก้าอี้ล้อมวง ปูเสื่อ หรือกระทั่งวงไทมุงแบบอิสระ
  • ไททอล์ก – การเรียนการสอนจากประสบการณ์ที่แตกต่างกัน โดยการเชิญูคนนอกพื้นที่และคนในพื้นที่มาแลกเปลี่ยนเรื่องราวประสบการณ์จากหลากหลายอาชีพ เช่น ผู้สื่อข่าวภาคสนาม นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ปี 1 นักเขียนนิยายวัยมัธยม อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย วิศวกร ฯลฯ​
  • ไททำ – การเรียนรู้ภาคปฏิบัติ ผ่านการลงมือและลงภาคสนามในอำเภอสีชมพู อาทิ การทดลองทำสาโทโดยมีครูภูมิปัญญาในพื้นที่เป็นผู้สอน หรือการลองทำ ‘หลามปลาช่อน’ ในไร่เกษตรผสมผสานของคนในชุมชน รวมไปถึงการได้ลองสร้างศิลปะจากหินในธรรมชาติ
  • ไททริป – การใช้เวลาไปกับการเล่น การเที่ยว เอาตัวเองออกไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของชุมชนที่หลากหลายในตำบลผานกเค้า อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย อย่างการไปเที่ยว ‘บ้านม้าไทย’ ของนักบุกเบิกการท่องเที่ยวโดยชุมชนและนักพัฒนาเกษตรอินทรีย์ หรือการไปเยือน ‘ไร่โนอาร์ 100 ไร่’ พื้นที่ปลอดสารเคมี และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ฯลฯ

“มหาลัยไทบ้านเป็นตัวอย่างหนึ่งที่เราพยายามสร้างทางเลือกให้กับคนในระบบ นั่นเพราะมีครูแบบเราไม่น้อยนะที่เจ็บปวด (suffer) ในระบบการศึกษา พวกเราเลยอยากทำให้เห็นว่า มันมีความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการเรียนรู้ เช่น การใช้รากฐานชุมชนเป็นฐาน”

“มันจำเป็นที่ต้องมีพื้นที่เช่นนี้ เราพบว่ามีคนที่ไม่โอเคกับระบบและคนที่โหยหาการเรียนรู้ที่ไร้กรอบ ไร้ชั้น  โรงเรียนกระแสหลักพยายามจัดการศึกษาเหมือนโรงงาน มันทำให้ชีวิตชีวาของการเรียนรู้หายไป”

ถึงที่สุด ‘มหาลัย’ไทบ้าน’ ปรารถนาจะรื้อฟื้นชีวิตชีวาของผู้คน ปรารถนาถักทอความสัมพันธ์ที่ขาดวิ่น ระหว่างชุมชน การเรียนรู้ ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และปรารถนาให้ชุมชนกลับมาแข็งแรงได้ด้วยตนเอง ภายใต้โครงสร้างที่กดทับคุณภาพชีวิตจนบี้แบน

พวกเขาเชื่อว่า การเรียนรู้ควรยืนอยู่บนอัธยาศัยอันหลากหลายของมนุษย์ ควรยืนอยู่บนประโยชน์ที่จับต้องได้ เราต่างรู้ว่าระบบการศึกษาภายใต้การดูแลของราชการมีลักษณะตรงข้ามกับข้างต้น นี่จึงเป็นเหตุผลและความจำเป็นของการ ‘มีอยู่’ และ ‘ดำรงอยู่’ ของมหาลัยไทบ้าน และการบุกเบิกอันกล้าหาญของคนสีชมพู

Array